Popular Posts

Wednesday, August 17, 2022

ทำอย่างไรเมื่อสวนข้าง ๆ รุกล้ำเขตทำกิน

ปัญหาตลอดชาติของเกษตรกรที่แก้ได้ด้วยปัญญาและความพากเพียร


คงไม่มีใครอยากคบคนพาล แต่ถ้ามีคนพาลเสือกเป็นมาอยู่เป็นเพื่อนบ้านล่ะ ขอบอกเลยว่าแม้จะไม่ไปสุงสิงกันเลยแต่ยังไงคุณก็จะหนีจากความเกรียนของมนุษย์สายพันธุ์นี้ไม่พ้น… และนี่คืออีกหนึ่งปัญหาสุดน่ามคานที่เกษตรกรอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ คงจะต้องเจอทุกชาติไปป์ ๆๆๆๆ (เสียง echo ค่อย ๆ เฟดออก) ความเกรียนเริ่มได้ตั้งแต่ความเอื้อเฟื้อในเสียงเพลงที่คุณได้แต่บอกในใจว่า “มึงเคยถามกุมั่งไหมว่าอยากฟังเปล่า?” หรือการแปรรูปขยะให้มาอยู่ในลมหายใจของคุณ หรือการพ่นยาพิษข้ามเขตเข้ามา (อ้ากกกส์) ถ้าจะให้สาธยายความเกรียนจนจบทั้งคนเขียนและคนอ่านก็คงจะต้องมีอายุยืนยาวมาก ๆ เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามถึงแม้อีสวนข้าง ๆ จะเกรียนขนาดไหน แต่คุณก็อาจอุ่นใจได้บ้างตราบใดยังมีหลักหมุดและเส้นบาง ๆ ที่มองไม่เห็นที่คอยกั้นไม่ให้มนุษย์สายพันธุ์นั้นรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของคุณ แต่ถ้าพวกนั้น (พวกมัน) ก้ามข้ามเส้นแบ่งเขตแดนและขีดความอดทนของคุณล่ะ


ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน (2557) ผมออกจากสวนมาทำงานในเมืองเพื่อหาทุนมาปรับปรุงสวนครั้งใหญ่ ผมยังคงกลับมาสวนอยู่เรื่อย ๆ เพื่อดูแลไม้ป่าที่ปลูกไว้ และตรวจตราความเรียบร้อยทั่วไป หลายครั้งที่กลับมาผมเห็นว่าต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ริมแดนถูกขโมยไป ด้วยเหตุที่ไม่มีหลักฐานว่าใครเป็นคนตัดจึงไม่มีประโยชน์อะไรหากผมจะไปแจ้งความ สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นคือการเอาผ้าสี ๆ มาผูก แต่ความหลอนหรือจะสู้ความเลว


ต้นปี 2560 ผมพบว่าต้นยางขนาดใหญ่ที่มุมสวนหายไป มันไม่ได้หายไปแบบถูกตัดเฉย ๆ แต่หายไปแบบถูกขุดออกไปทั้งโคน ความสำคัญของต้นยางต้นนี้คือ ‘เธอ’ ถูกปลูกไว้ชิดหลักหมุดของที่ดิน นั่นหมายความว่าหลักหมุดย่อมกระเด็นหายไปด้วย เชี่ยยยย… (เสียงสูงแบบเร่งความถี่)  



โดยปกติหลักหมุดกำหนดเขตแดนจะเป็นแท่งปูนทรงกระบอกเล็ก ๆ ขนาดประมาณแก้วพลาสติกใส่กาแฟเย็น ซึ่งมันหายและถูกย้ายได้ง่ายมาก หลายสวนแก้ปัญหาด้วยการนำเสาปูนมาปักไว้ข้าง ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ เสาปูนก็ยังถูกขุดออกไปได้ สวนของเราจึงใช้วิธีปลูกไม้ใหญ่ไว้ชิดหลักเขตกะว่าถึงหมุดและเสาปูนจะหายหรือถูกย้ายไปปักที่อื่น แต่ยังไงอีสวนข้าง ๆ ก็คงจะไม่มีปัญญาขยับต้นไม้ได้แน่ แต่เราคิดผิดเพราะใครจะไปคิดว่าอีสวนข้าง ๆ มันจะเลวขนาดเอารถแบ็คโฮขุดต้นไม้ออกไปเลยจ้าาาา…..


ผมจึงแก้ปัญหาด้วยการนำเสาปูนมาปักเรียงห่าง ๆ กันเป็นแนวเขตโดยเล็งจากหลักหมุดที่ยังอยู่และแนวต้นไม้ที่ยังไม่ถูกตัด วันรุ่งขึ้นมนุษย์สายพันธุ์สวนข้าง ๆ ก็มาโวยบอกว่าผมปักหลักเข้าไปในพื้นที่ของแก ผมแย้งว่ามันเป็นไปไม่ได้ และจริง ๆ แล้วสวนเราก็ไม่ได้ติดกัน เพราะถ้าหากดูตามโฉนด (สปก.) ก็จะเห็นว่ามีลำห้วยสาธารณะคั่นอยู่ตรงกลาง 














เดาได้ไม่ยาก เหตุผลคงมิอาจเอาชนะความเรื้อนของมนุษย์สายพันธุ์นี้ ผมเลยบอกให้ไปคุยกันที่สำนักงานปฏิรูปที่ดิน (สปก.) เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่มาพิสูจน์หลักหมุด 


ไม่ถึงชั่วโมงหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็รับเรื่องไป โดยขอให้ผมอย่าเพิ่งล้อมรั้วจนกว่าการพิสูจน์จะเสร็จสิ้น 


เวลาผ่านไปหลายปี ยังคงไม่มีการติดต่อใด ๆ จากทาง สปก. อยู่มาวันหนึ่งผมมีเหตุต้องเข้าไปที่นั่นเพื่อติดต่อธุระเรื่องอื่นผมจึงถือโอกาสตามเรื่องนี้ไปด้วย เจ้าหน้าที่ก็ฟังเฉย ๆ ไม่ได้จดอะไร ซึ่งก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขาคงจะไม่ทำห่าอะไรเช่นเดิม ผมก็ได้แต่ทำโง่ ๆ ใบ้ ๆ ไปพลาง ๆ เพราะอีสวนข้าง ๆ ก็ยังไม่รุกข้ามมาหลังเขตแดนชั่วคราวที่ผมปักไว้


หลายปีต่อมาผมเดินสำรวจบริเวณที่มีปัญหาแล้วสังเกตว่าต้นไม้หลายต้นดูแห้งผิดปรกติ เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ จึงเห็นว่าต้นไม้ที่อยู่แถวนั้นถูกถากเปลือกออกเพื่อให้ยืนต้นตาย แน่นอนการพิสูจน์เพื่อหาตัวผู้ลงมือคงจะไกลเกินสามารถของผม แต่เรื่องนี้มีความเป็นไปได้  2 อย่าง คือ


  1. สวนข้าง ๆ ที่รุกลำห้วยสาธารณะข้ามมาไม่ชอบต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ชายขอบที่ดินของผม เพราะไปบังแสงทุเรียนที่พวกเขาเพิ่งปลูก 

  2. มีมือที่สามมาเกรียน เพราะต้องการสร้างความขัดแย้งให้รุนแรงขึ้น ประเด็นนี้เป็นไปได้ยาก แต่ผมก็ยังไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ออกไป 





ไม่ว่าจะด้วยเหตุในก็ตาม ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องต่อสู้เพื่อความชอบธรรมและยับยั้งพฤติกรรมเลว ๆ ของคนเหล่านี้บ้าง ที่ผ่านมาผมเล่นแต่เกมส์รับด้วยการขอให้ สปก มาชี้ตำแหน่งหลักหมุดเพื่อระงับข้อพิพาทและเพื่อไม่ให้พวกนั้นรุกล้ำดินแดนข้ามมา แต่คราวนี้ผมจะเล่นเกมส์รุกบ้างโดยใช้ประเด็นการรุกลำห้วยสาธารณะเพื่อให้พวกนั้นต้องถอยไปไกล เดิมทีเรื่องนี้เป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนแต่ผมจะทำให้มันเป็นข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับรัฐที่มีความผิดอาญาเป็นรางวัลอีกด้วย นอกจากนั้นประเด็นการรุกห้วยสาธารณะอยู่ในความดูแลของ อบต. ซึ่งทำงานเร็วกว่า สปก. มาก ผมจึงเชื่อว่าการรุกกลับครั้งนี้น่าจะหวังผลได้ 


มิถุนายน 2564 ผมไปยื่นคำร้องเรื่องการบุกรุกห้วยสาธารณะที่ อบต. เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังจากนั้นไม่กี่วันเจ้าหน้าที่จากทาง อบต. ก็ได้เข้ามาตรวจสอบพื้นที่ แต่เนื่องจากหลักหมุดและลำห้วยได้ย้ายสำมะโนครัวไปอยู่อีกจักรวาลแล้ว ทาง อบต. ก็ไม่รู้จะชี้หลักเขตยังไงจึงส่งหนังสือไปยัง สปก. เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้เจ้าหน้าที่เข้ามารังวัดเพื่อกำหนดแนวเขตให้แน่ชัด โดยทาง อบต. ยังทำหนังสือแจ้งความคืบหน้ามาให้ผมรับทราบด้วย


เวลาล่วงเลยมาถึงปลายปี ก็คงจะเดาได้ไม่ยากว่า สปก. ก็ไม่ได้ทำห่าอะไรเช่นเดิม ขนาดเจ้าหน้าที่ของ อบต. ก็ยังถามว่าทาง สปก. ได้ติดต่อมาบ้างไหม ผมคิดว่าควรจะตามเรื่องได้แล้ว เพราะถ้าหากปล่อยให้ทุเรียนในสวนนั้นโตไปมากกว่านี้การจะทำให้พวกนั้นยอมถอยออกจากที่สาธารณะก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย 


ผมเข้าไปตามเรื่องที่ สปก. ในเดือนธันวาคม เจ้าหน้าที่ไม่ทำอะไรบอกแค่เพียงว่าเดี๋ยวจะติดต่อกลับไปเอง ราวสี่เดือนหลังจากนั้นผมกลับเข้าไปอีกครั้ง พวกเขาบอกว่าช่วงนี้ทำงานที่อำเภออื่นอยู่ให้โทรมาถามเรื่อย ๆ หน้าฝนใกล้เข้ามาทุกทียังคงไม่มีความคืบหน้าอะไร ถ้าฝนมาแล้วการเข้าพื้นที่จะเป็นเรื่องทุลักทุเลผมจึงโทรไปสอบถามในเดือนพฤษภาคม ทางนั้นบอกว่าถ้าประสานงานกับ อบต. ได้แล้วสิ้นเดือนจะโทรกลับ แต่สิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น นี่ก็ห้าปีกว่าแล้วนับแต่การขอให้ทาง สปก. มาตรวจสอบ แล้วอีกไม่นานก็จะครบปีที่มาร้องเรียนเรื่องการรุกห้วยสาธารณะด้วย ผมจะต้องรอคอยอย่างสิ้นหวังไปถึงเมื่อไร…งานไม่ยากเลย แต่ทำไมถึงใช้เวลานานขนาดนี้ เรื่องนี้ชักดูไม่ชอบมาพากล …แล้วใครล่ะที่จะช่วยอะไรผมได้ 

.

.

.

นอกจากตัวผมเอง…

.

.

.

Chain of command


ผมชั่งใจอยู่พักนึงว่าผมควรจะร้องเรียนไปทางผู้ว่า หรือ จะร้องเรียนไปทางอธิบดี ฤดูฝนคงไม่มีความหมายกับพวกเขาเท่ากับฤดูการแต่งตั้งโยกย้าย คิดไปคิิดมาคนที่มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายสั่งการน่าจะอยู่ที่อธิบดีมากกว่าเพราะยังไงก็อยู่ในกรมเดียวกัน คืนนั้นหมดไปกับการรวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตั้งแต่ซากหนังสือร้องเรียน “ชิ้น” แรกเมื่อห้าปีก่อน จนถึงหนังสือที่ทาง อบต. แจ้งให้ทราบว่าได้ขอความอนุเคราะห์ไปยัง สปก. แล้ว วันรุ่งขึ้นเอกสารทั้งหมดถูกส่งไปยังเลขาธิการ สปก. (น่าจะเป็นเว่ลเดียวกับอธิบดีตามโครงสร้างของกรมนี้) ภายใต้จดหมายปิดหน้าที่ขอความอนุเคราะห์สั่งการ โดยมีเนื้อหาชื่นชมการทำงานของ สปก. ในพื้นที่ตามความเป็นจริง ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้าง


แต่สองเดือนผ่านไปยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น จดหมายตอบรับสักฉบับก็ยังไม่มี  โว้ยยยยยยยย……………กรมนี้มันเป็นอะไรกันหมดวะเนี่ยยยยยย ผมรู้สึกถอดใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเขียนจดหมายถึงเลขาธิการแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อไปคงต้องเขียนจดหมายไปถึงปลัดกระทรวง แล้วถ้ายังเงียบอีกก็ต้องเขียนไปถึงรัฐมนตรีใช่ไหม แล้วถ้ามันยังเงียบอีกล่ะ……..


“ลองเขียนไปหาเลขาธิการอีกที เขาอาจจะสั่งการมาแล้ว แต่ทางพื้นที่คงไม่อยากจะทำเลยทำเป็นหูทวนลมเอาไปดองไว้อย่างนั้น แล้วทางนู้นก็ไม่ได้สนใจจะติดตาม ให้โอกาสเขาหน่อย ทางเลขาธิการก็จะได้รู้ด้วยว่าทางนี้ทำงานกันยังไง” ข้าราชการคนแรกในชีวิตที่ผมรู้จักช่วยสอนมวยให้


วันรุ่งขึ้นจดหมายอีกฉบับก็เดินทางเข้ากรุงพร้อมกับความหวังอันเลือนลาง ถึงแม้ว่ามันจะเลือนลางเพียงใด แต่ตราบใดที่มีความหวังและความพยายามประตูแห่งโอกาสก็จะไม่ถูกปิดลงด้วยมือของเราเอง


ไม่กี่วันต่อมามีเสียงเรียกเข้าจากทาง สปก. เจ้าหน้าที่ขอนัดลงพื้นที่ในวันรุ่งขึิ้น ห๊ะ!!! วันรุ่งขึ้น บทจะมาก็มาง่าย ๆ เลย จะว่าไปการนัดตรวจสอบนี่ถืิอว่าไม่ง่ายเลยเพราะจะต้องมีทั้งคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ตัวแทนจาก อบต. ผู้ใหญ่บ้าน ส่วนทาง สปก. ก็จะมีทั้งช่างและนิติกร 





การรอคอยอันยาวนานสิ้นสุดลงเมื่อเจ้าหน้าที่นำเครื่องมือไปวัดตำแหน่งจากหลักหมุดที่ยังอยู่แล้ว เดินกลับมาชี้ตำแหน่งหมุดที่หายไป ซึ่งก็อยู่ในบริเวณเดียวกันกับที่ผมปักเสาเพื่อจะล้อมรั้ว 


“สวนนี้ต้องถอยไปนะครับ” ตรงนี้เป็นลำห้วย เจ้าหน้าที่บอกกับสิ่งมีชีวิตที่ทำสวนแปลงข้าง ๆ 


“ตอนนี้เราได้ตำแหน่งโดยคร่าว ๆ แล้ว เดี๋ยวเราจะกลับไปทำแผนที่โดยละเอียดแล้วกลับมาปักหมุดนะครับ เดี๋ยวผมจะอ่านบันทึกถ้อยคำให้ฟังแล้วขอให้ทุกคนลงนามนะครับ”


ถ้าคุณเคยดูละครน้ำเน่าก็คงพอจะนึกออกได้ว่าคนพวกนั้นจะพูดแก้เสียหน้าประมาณไหน


“จะขุดให้เดี๋ยวนี้เลย รถแม็คโครก็อยู่ตรงนี้” (เดี๋ยวก่อนมึง หมุดยังไม่ได้ปัก พอวัดจริงเดี๋ยวจะได้รู้ว่าต้องถอยไปไกลกว่านั้นอีก” 


“เรายอมถอยก็ได้ จะได้ไม่มารังแกพวกเราอีก” (เด๋ว ๆ มึง ดมกาวมาผิดหลอดป่าว)


จะว่าไปผมก็ไม่ควรจะคาดหวังความสำนึกอะไรจากสิ่งมีชีวิตสวนข้าง ๆ นี้ เพราะถ้าหากพวกเขามีความละอาย (ความเกรงกลัวต่อบาปคงไม่ต้องฝัน) และจิตสำนึกอยู่บ้าง พวกเขาก็คงจะไม่ทำอะไรแบบนั้นตั้งแต่แรก แต่หากมองลงไปกว่านั้นจริง ๆ แล้วทั้งพวกเขาและตัวผมเองก็ไม่มีใครได้หรือเสียอะไรเลย ที่ดินของผมก็อยู่เท่าเดิม พวกนั้นจะมาอ้างสิทธิ์ไม่ได้อีกต่อไป ส่วนพวกนั้นก็ต้องถอยไปทำกินในที่ดินของตนเอง พวกเขามิอาจและมิเคยครอบครองลำห้วยอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้เสียอะไรด้วยเช่นกัน


กระบวนการนี้ใช้เวลานานมากแต่ผมก็เชื่อว่ามันจะจบลงแบบที่ควรจะเป็น แม้ว่าเรามิอาจจะเลือกเพื่อนบ้านหรือเปลี่ยนแปลงพวกเขาได้ แต่มันก็ยังมีกระบวนการที่จะควบคุมไม่ให้พวกเขาทำอะไรตามอำเภอใจ ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากเราใช้ปัญญาและความเพียรจนถึงที่สุดแล้วประตูแห่งโอกาสก็จะไม่ถูกปิดลงด้วยมือของเราเอง