Popular Posts

Sunday, April 02, 2006

เรารู้จักการเดินทางดีแค่ไหน (ปัจฉิมภาค)

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการขี่จักรยานทางไกลของผม
แต่เป็นครั้งแรกที่ไปเพียงสองคน
และเป็นครั้งแรกสำหรับการปั่นที่ภาคเหนือ
เส้นทางที่ลือกันว่าปราบเซียนมานักต่อนักแล้ว

ไม่ว่าใครจะกล่าวถึงเส้นทางนี้อย่างไร
สำหรับผมแล้ว
เส้นทางนี้ทำให้ผมเข้าใจและยอมรับเงื่อนไขแห่งการเดินทางมากขึ้น
.
.
.
ไม่ต่างอะไรกับนกที่บินข้ามมหาสมุทร
ซึ่งจะบินเรียงตัวกันเป็นลูกศรเพื่อให้มีแรงต้านอากาศที่กระทำต่อกลุ่มน้อยที่สุด
คนที่ขี่จักรยานก็จะขี่ต่อกันเป็นขบวนโดยเว้นระยะห่างเพียงศอกเดียว
หาใช่พิศวาสอะไรกับตูดคนข้างหน้า
แต่จำต้องขี่ตามกันเพื่อลดแรงต้านและให้เหนื่อยน้อยที่สุด
ประมาณเอาเองว่า คนที่ขี่ตามท้ายใช้แรงเพียงสองในสามส่วนก็สามารถไปด้วยความเร็วเท่ากับคันหน้าได้

การขี่ทัวร์ริงครั้งก่อนนั้นเราขี่ดูดตูดกันตลอดหลายพันกิโล
เลยไม่ค่อยเห็นอะไรเท่าไหร่นอกไปจากล้อหลังของรถคันหน้า และตูดลุงแก่ๆ
แต่มันก็ทำให้นักปั่นทางไกลหน้าใหม่อย่างผมขี่ไปไกลกว่า 100 กิโลเมตรในวันเดียว

ถึงอย่างไรเทคนิคดังกล่าวก็ไม่สามารถใช้กับบนดอยได้ดีสักเท่าไหร่
ทิวเขาที่คดเคี้ยวและสูงชันค่อยๆ แยกพวกเราออกจากกันโดยแทบจะรู้สึกตัว
ระหว่างที่ขึ้นเขา สหายของผมก็ค่อยๆ ออกห่างไปทีละนิดๆ จนมองกันไม่เห็น
และการขี่ดูดตูดกันเพื่อลดแรงต้านก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับการขี่ขึ้นเขาด้วยความเร็วที่ไม่ต่างอะไรจากการเดิน
รถคันที่ขี่ตามหลังจึงไม่ได้อานิสงส์จากการแหวกอากาศของคันหน้า
ผมไม่ต้องการจะขี่นำหน้า
แต่นั่นก็เป็นความเร็วเดียวที่ผมขี่ได้
เพราะหากว่าช้ากว่านั้นรถจะทรงตัวได้ลำบาก แล้วก็จะเมื่อยมากถึงมากที่สุด
ดังนั้นต่างคนจึงไปต้องตามกำลังของตัวเอง
แล้วหยุดพักเรอเมื่อถึงที่ ที่เหมาะสม

ซึ่งก็คือ
ที่พักริมทาง
หรือจุดเยี่ยวที่วิวสวย และแดดไม่ร้อน
(เพราะเกรงว่าองค์จะถูกแดด...เดี๋ยวเซียวลี้ปวยตอจะเปล่งประกายดำมากขึ้น)
ผมใช้เวลารอให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการระบายความร้อนออกจากร่างกาย
.
.
.
หนึ่งควยก็แล้ว สองควยก็แล้ว.........
.
.
.
ในที่สุดอาชัยก็ตามทัน
อย่าลืมว่าแกต่อให้ผมยี่สิบปี


เมื่อลงเขาทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงราวกับหน้ามือเป็นหลังตีน
ความคดเคี้ยว ลาดชัน และฝีมือ ทำให้เพื่อนร่วมทางของผมหายไปในพริบตา
จนอดสงสัยไม่ได้ว่า
แอบเอาไนตรัสติดจักรยานป่าววะ



ทว่าการขี่ห่างกันไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอยู่คนเดียว
เพราะเราจะต้องหยุดรถเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่า เพื่อนของเราไม่ใจดีแอบเอาแก้มไปเช็ดถนนที่ไหนสักแห่ง
ซึ่งเป็นการแสดงความห่วงใยที่ไม่ต้องพูดอะไร ที่มาจากที่ว่างที่พวกเราเว้นไว้นั่นเอง
วิธีนี้เปิดโอกาสให้แต่ละคนได้ใช้ความสามารถในสิ่งที่ตัวเองถนัด โดยที่ไม่เป็นการถ่วงเวลาให้กับเพื่อนร่วมทาง

เพราะเราไม่ได้มาคนเดียว…..........นี่อาจจะเป็นเงื่อนไขแรกสำหรับผมในการเดินทางนี้


ด้วยความที่ทั้งชัน ทั้งโค้ง ทั้งขรุขระ
พวกเราปั่นอยู่บนสันเขาเกือบจะตลอดทาง
มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้
ทั้งๆ ประมาณ 10 กว่ากิโล พวกเราก็น่าจะถึงที่พัก
แต่ไม่รู้ว่าต้องไปอีกนานแค่ไหน เพราะบางพื้นที่เราเคลื่อนที่ไปได้เร็วพอๆ กับการเดิน และยังต้องหยุดพักบ่อยๆ

ความเหนื่อยล้าทำให้ความคิดมากมายโฟ่ขึ้นมาในหัวผม
มันสับสนและวุ่นวายไปหมด
เชี่ยเมื่อไหร่กูจะถึง ยิ่งถึงช้ายิ่งไม่อยากอาบน้ำ
แล้วจะเอาแรงที่ไหนตักข้าวกิน
จะเป็นเหมือนเมื่อวานที่หลับคาจานข้าวป่าววะ ถ้าร้านค้าปิดหมดแล้วต้องแดกหญ้าหรือไง
คลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี
จนหากถามผมว่าตอนนั้นผมคิดอะไร
ผมก็คงจะตอบไม่ได้
เพราะมีเรื่องมากมายที่อยู่ในความคิด
และหาได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
แต่เกี่ยวพันจนไม่รู้ว่ามันคืออะไร

ผมรู้ดีว่าหากปล่อยให้ความคิดสับสนพลุ่งพล่านอยู่หัวต่อเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
อีกไม่นานผมคงขี่จักรยานต่อไปอีกไม่ไหว
.
.
.
ผมพยายามไม่คิดอะไร
คิดอยู่อย่างเดียวคือควบคุมลมหายใจให้สม่ำเสมอ
สักพักความคิดที่เคยมีมากมายก็ค่อยๆ หายไป

เหลือเพียงผม และจักรยาน
เมื่อควบคุมลมหายใจได้
ร่างกายและจิตใจก็เริ่มประสานกันเป็นหนึ่ง
ผมรู้ทันทีว่าสิ่งต่อไปที่ต้องทำคือ
การทำตัวเป็นหนึ่งเดียวกับจักรยาน
เป็นหนึ่งเดียวกันจนแยกกันไม่ออก
ราวกับว่ามันเป็นอวัยวะหนึ่งของเรา
.
..
ปรมาจารย์เอี้ยก้วย ฝึกวิชาด้วยศาสตราวุธมากมาย
สุดท้ายใช้เพียงกิ่งไผ่
เพราะสิ่งสำคัญคือการเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธ


ซึ่งก็สอดคล้องกับคำกล่าวของ ผู้เฒ่าแซซุน ระหว่างการเผชิญหน้าของสองผู้ยิ่งใหญ่ (ลี้คิมฮวง และเซี่ยงกัวกิมฮ้ง)
.
.
ในที่สุด มือเซี่ยงกัวกิมฮ้งก็ถูกชักออกมาจากแขนเสื้อ
เป็นมือเปล่า !
ลี้คิมฮวงกล่าว
“ห่วงของท่านเล่า ?”
.
.
.
“ในมือไร้ห่วง ในใจมีห่วง”
นี่คือจุดสุดยอดแห่งวิชาบู๊แล้ว
นี่เป็นระดับเทพยดาแล้ว !
ผู้อื่นไม่เข้าใจ ลี้คิมฮวงเข้าใจกระจ่าง !
.
.
.
ทันใดนั้นมีเสียงกล่าวขึ้น
“ที่พวกมันจะต่อสู้ เนื่องเพราะมันความจริงไม่รู้แก่นแท้ของหลักวิชาบู๊เลย”
.
.
.
“สุดยอดวิชาบู๊ที่แท้จริง จะต้องสามารถเลิศพิสดารปานปาฏิหาริย์ ถึงระดับไร้ห่วงไร้เรา
ลืมห่วงไปสิ้น นั่นจึงจะบรรลุทุกสรรพสิ่ง ทำลายในทุกสรรพสิ่งได้”
.
.
.
แต่นั่นก็หาใช่ที่สุด
เพราะการจะพิชิตยอดเขานั้น
หาใช่เพียงการเป็นหนึ่งกับจักรยาน
และหาใช่การใช้เพียงกำลังเพื่อไปให้ถึงที่หมาย
นอกจากจะต้องเป็นหนึ่งกับจักรยานแล้ว
ยังจะต้องเป็นหนึ่งกับธรรมชาติอีกด้วย
เพราะนั่น ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เราเดินทางไปหามันมิใช่หรือ

ผมนึงถึงหนังเรื่อง Hero ที่ฉายบนรถทัวร์ในวันแรกที่เดินทางมา
“กระบี่หัก” มิได้เพียงมอบกระบี่เล่มนั้นให้แก่ “ไร้นาม”
ทว่าได้มอบตัวอักษรตัวหนึ่งฝากไปให้ จิ๋นซีอ๋องด้วย
ตัวอักษรนั้นเขียนว่า
“ใต้หล้า”
คำคำนี้เริ่มด้วยคำว่า คน
และในมือคนก็มี กระบี่
แต่เมื่อรวมเป็นคำว่าไต้หล้า กระบี่ในมือก็จะหายไป
เพราะเมื่อเป็นปึกแผ่นแล้วใยจำเป็นต้องฆ่าฟันอีก

คน กระบี่ และแผ่นดิน จึงถูกหลอมรวมเป็นหนึ่ง................ไม่มีคน ไม่มีกระบี่
………………………………….
…………………
……
..
.

การปั่น (คลาน?) อยู่เพียงลำพังทำให้ผมสามารถให้ความสนใจกับธรรมชาติรอบตัวได้มากขึ้น
ความคิดที่จะเอาชนะธรรมชาติค่อยๆ ละลายไปขณะที่ผมกำลังจะถึงจุดที่สูงที่สุดบนดอยนั้น

เรามักได้ยินคำพูดให้กำลังใจ (หลอกให้ทะเยอทะยาน?) เช่น “ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง” หรือ “จะต้องไปให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ผมรู้สึกสงสัยว่าความหมายที่แท้จริงนั้นคืออะไร และมันมีอะไรอยู่บนที่สูง (ความสำเร็จ?)
เพราะบนยอดเขาที่ผมเห็นนั้นอาจต่างออกไป
….
....................
......................................
สูงกว่าขุนเขายังมียอดหญ้า
สูงกว่ายอดหญ้ายังมีแผ่นฟ้า
ซึ่งหาได้ลอยเด่นดังวิมาน
หากแต่ตั้งอยู่บทแผ่นดินเช่นกัน
..............................................
.......................
........


จริงอยู่ที่เมื่อถึงผ่านจุดที่สูงที่สุดไปแล้ว
อีกด้านหนึ่งของเส้นทางก็ยังเป็นทางลาดชัน
แต่เป็นทางลาดที่นักที่สามารถผ่านไปได้โดยที่ไม่ต้องออกแรง
รสชาติของความสำเร็จอาจมิใช่การไปถึงแต่อาจเป็นการออกห่าง
ลงสู่จุดที่ต่ำที่สุด ต่ำเสมอจุดเริ่มต้น

ทว่ารสชาตินี้อาจเป็นรสขมสำหรับคนไม่น้อย
ย่อมนับผู้ที่กลัวความเร็ว
ย่อมนับผู้ที่ไม่ชำนาญรถ
ย่อมนับผู้ที่ไม่ชำนาญทาง (อันคดเคี้ยวและสูงชัน)
สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าความเป็นหนึ่งเดียวของ คน รถ และเส้นทางสามารถเปลี่ยนรถขมนี้ให้เป็นอื่นได้หรือไม่

ความจริงที่เอามาพูดเล่นคือ
มนุษย์บางจำพวกแบกจักรยานขึ้นเขาเพื่อปั่นลง
มนุษย์บางจำพวกปั่นจักรยานขึ้นเขาเพื่อแบกลง



ฟังดูตลกอนาถ แต่นั้นก็สะท้อนบางอย่างที่ตรงกันมิใช่หรือ?

คงปฏิเสธได้ยากหากจะกล่าวว่า ความสุขของแต่ละคนนั้นต่างกัน
วิธีแสวงหาและปริมาณที่ต้องการย่อมแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน
ทว่าสิ่งสำคัญคือ เรารู้จักตัวเองและสร้างสมดุลให้กับชีวิตได้ดีแค่ไหน



เซี่ยงกัวกิมฮ้งหน้าเครียดเย็นชา กล่าวเสียงกระด้าง
“เหตุผลทุกคนต่างกล่าวได้ ปัญหาอยู่ที่ว่ามันสามารถกระทำได้หรือไม่ ?”