Popular Posts

Thursday, December 22, 2005

ก็มันไม่เห็นนี่หว่า!

วันที่ 29 พฤศจิกายน อาชัยเพื่อนร่วมทางคนสำคัญในครั้งนี้ของผมต้องกลับไปก่อนเนื่องด้วยภาระหน้าที่การงาน
ฟังดูกิ๊บเก๋ แต่แท้จริงแล้วคือ กลับไปคุมร้านเพราะคนงานลาไปเกี่ยวข้าว

ผมจึงปั่นต่อกับแก๊งที่เหลือ ที่เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน

วันนั้นพวกเราเดินทางจาก อ.หลังสวน ไปสู่ตัวเมืองชุมพร ซึ่งก็เป็นระยะทางเพียงร้อยกิโลเมตรเศษๆ แต่มันก็ดั้น....เสือกได้เรื่องฮาๆ มาให้เล่าอีกจนได้
.
.
.
หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ผมก็ค่อยๆ ยุรยาตรขึ้นรถอย่างช้าๆ และออกตัวเป็นคนสุดท้ายอีกตามเคย

(คนที่ไปด้วยกันก็คงจะเข้าใจดีว่า ผมแดกเยอะอย่างยิ่ง และแดกนานอย่างยิ่ง และอีกทั้งตอนนี้เริ่มเก๋า
เลยคิดไปเองว่า ไม่เป็นไรอัดแป๊ปเดียวแม่งก็ก็ตามทัน)
.
.

ผมเฆี่ยนไปสักพักก็เห็นพวกลุงๆ ที่ขี่อยู่รั้งท้าย
แต่แทนที่จะขี่แบบดูดตูดแบบกินแรงชาวบ้าน ก็เสือกกระแดะแซงขึ้นไปอีก
.
ถ้าเป็นวันปรกติผมคงควบจักรยานคู่กับอาชัย แต่วันนั้นแกไม่อยู่ผมต้องจึงอัดขึ้นไปคนเดียว
.
.
.

ผมขี่ผ่านแยกไปแดงไปสักพักก็ยังมองไม่เห็นกลุ่มนำ แต่ก็ยังไม่ได้สนใจอะไร เพราะเชื่อว่า
.
“ไอ้ห่าเอ๊ย ปั่นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวแม่งก็ทัน”
.
ผมขี่รถขึ้นลงเนินหลายลูกเป็นระยะทางหลายสิบกิโล แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของใคร.....ยังกับว่าโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ
.
.
.
แม่งเอ้ย! ...มันเป็นไปได้ยังไงวะเนี่ย
.
.
.
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจใช้วิชาชิวหาพิฆาต

อันมหาบุรุษนั้นมีปากอยู่สองปาก
๑. ปากบนหนวดตรง
๒. ส่วนปากล่างหนวดไม่ค่อยจะตรงสักเท่าไหร่

ฉันใดก็ฉันนั้นมหาสตรีก็มีสองปากเช่นเดียวกัน แต่
๑. ปากบนแนวนอน
๒. ในขณะที่ปากล่างแนวตั้ง

.
.
.
แทบไม่ต้องคิด ผมเลือกใช้ปากบนของผมมาแก้สถานการณ์ ผมถามร้านค้าจำนวนไม่น้อยว่าเห็นแก๊งจักรยานผ่านไปบ้างหรือไม่
.
แต่ผมก็ไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ
.
ผมงงมากว่าพวกที่อยู่ข้างหน้าหายไปไหน และมันเป็นไปได้ยังไงที่ผมตามไม่ทัน
.
.
.
จะโทรไปหาใครก็ไม่ได้เพราะไม่มีโทรศัพท์กับกระเป๋าตังอยู่กะตัว
เพราะเช้าวันนั้น ท้องฟ้าดูไม่สดใส ผมเลยเอาของที่เปียกน้ำไม่ได้ ฝากไว้ที่รถตามขบวน
.
.

ผมจำใจขี่รถย้อนทางเก่าเพื่อกลับไปหาพวกลุงๆ ที่ผมแซงไปเมื่อครู่

ผ่านไปเนินแล้วเนินเล่า แต่ก็ไม่เห็นแม้เงาของใคร

“อ้าวฉิบหาย (อีกแล้ว) สิกู” ผมนึกในใจ
.
.
.
ผมเริ่มถามทางอีกครั้ง เมื่อย้อนกลับมาถึงแยกไปแดง

มอไซค์รับจ้างคือเป้าหมายแรก พวกเขาบอกว่าเห็นคณะของพวกเราผ่านไป แต่ไม่ได้สังเกตว่าเลี้ยวไปทางไหน
...................
.............
........
...
.............ถึงคำตอบจะยังไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ช่วยกำหนดขอบเขต
และทิศทางการหาได้บ้าง
.
.
.
ผมเลี้ยวเข้าไปทีละแยก เอาแม่งให้ตายกันไปข้างเลย..............ให้มันรู้กันไปว่ามันหายได้อย่างไร.
.
แยกแรกเลี้ยวซ้าย ดูมีลุ้น หรือพูดอย่างกระแดะๆ ว่า Possibility เป็นบวก แต่ก็แป๊ก
.
แยกที่สองเลี้ยวขวา ดูไม่น่าใช่ แต่ก็ต้องลอง แล้วก็แป๊ก (อีกแล้ว)
..
.....
..........
...............

อะไรๆ มันคงจะง่ายขึ้นเยอะถ้าผมดูกำหนดการตั้งแต่เมื่อเช้าว่า วันนี้จะไปพักที่ไหน
.
.
แต่ช่างมันเถอะ เพราะอย่างไรมันก็ทำให้ผมมีเรื่องมันส์ๆ...........................มาฝากแฟนานุแฟน

.
.
.
เมื่อทั้งซ้าย และขวาก็ไม่รอด
ผมก็ต้องจำใจย้อนกลับไปทางเมื่อครู่อีกครั้ง และถามทุกที่ที่มีคนอยู่
.
.
หลายคนบอกว่าไม่เห็นเพราะทำงานอยู่หลังร้าน แต่คนที่เห็นบอกว่าให้ตรงไป
.
.
ในที่สุดความหวังก็เริ่มทอประกายออกมา
.
.
ผมใช้พลังลูกควายที่เหลือ ปั่นไปเรื่อยๆ
เนินแล้วเนินเล่า ทุกซอยทุกแยก
แต่ก็ยังไม่เห็นเงาตูดใคร
.
ผมเริ่มถามทางกับคนขายของข้างทางอีกครั้ง แต่ไม่มีใครบอกว่าเห็น
เฮ่ยแม่งเป็นไปได้ยังไงวะ ร้านเมื่อกี้ยังบอกว่าเห็นอยู่เลย...............รับไม่ได้สุดๆ........
.......................
.............
........
...

น้ำในกระติกแห้งแล้วแต่ผมก็ยังหาใครไม่เจอ
ความเหวอเปลี่ยนเป็นความเครียด...............
.
.
.
ด้วยความเข้าใจว่าคงจะขี่รถเลยที่พักมาแล้ว
ผมจึงขี่ย้อนกลับไปที่สี่แยก (อีกแล้ว) พร้อมกับถามทางไปเรื่อยๆ
.
"ขอโทษนะครับเห็นคนขี่รถจักรยานแบบผมผ่านมาทางนี้บ้างไหมครับ"
.
"ก็เห็นแต่เธอหละ วนอยู่ 3 รอบแล้ว"
.
........ขอบคุณมากกกกเลยยยยย
.
.
.
.

ผมหยุดรถที่เนิน 491 แล้วข้ามถนนไปที่ป้อมตำรวจฝั่งตรงข้าม ที่เขียนป้ายว่า
.
“ยินดีรับใช้ 24 ชั่วโมง”
.
แต่ผมเคาะกระจกอยู่นานมากก็ยังไม่มีใครออกมา...... “ฉิบหายอีกแล้วกู” ผมนึกในใจ
ผมเดินออกมาอย่างถอดใจ แล้วในขณะนั้นเอง...............
................
.......
..
ตำรวจก็วิ่งออกมาจากห้องน้ำ ด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก
.
ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ตำรวจฟัง แล้วพูดในลักษณะว่าจะขอยืมใช้โทรศัพท์ที่ป้อมตำรวจ
ผมได้ตัง 4 บาทมาโทรศัพท์แทน และผมก็ทำหน้าบางขอกระดาษและดินสอมาด้วย
(ถ้ามีโอกาสจะเอารูปดินสอและกระดาษแผ่นนั้นมาลงบล็อกด้วย)
.
.
แต่มันก็หาได้ง่ายขนาดนั้นไม่
ผมต้องการโทรไปหาพี่ลิฟท์ ซึ่งเป็นคนขับรถตามขบวนว่าที่พักอยู่ที่ไหน.....แต่ผมไม่มีเบอร์แกอยู่กับตัว
.
ผมจะถามอาชัยซึ่งมีเบอร์พี่ลิฟท์ แต่ผมก็จำเบอร์โทรศัพท์แกไม่ได้.....ระยำจริงๆ
.
ผมจึงต้องโทรไปหาพี่ชายที่บ้าน เพื่อถามเบอร์อาชัย แล้วจะได้ขอเบอร์พี่ลิฟท์อีกที.....โอแม่เจ้ามันลำบากเหลือเกิน
ยิ่งโดยเฉพาะกับเงิน 4 บาท ที่มี
.
.
ผมกด 1234 ตามด้วยเบอร์พี่ชาย
สักพักก็มีเสียงตอบรับอัตโนมัติ "ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริการรับฝากข้อความสำหรับผู้เดินทางไปต่างประเทศ"
ผมเหวอไปสักพัก.........!!!!!
.
และในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาว่า....."เย็ดแม่.....เอาอีกแล้ว...โทรผิด!!!"
เมื่อกี้ผมกดเบอร์ของเพื่อนตัวเองเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
.
.
เงิน 3 บาทสุดท้ายช่างมีค่าจริงๆ ในวินาทีนี้.
..
ผมโทรออกอีกครั้งอย่างระมัดระวังว่าจะไม่กดผิดเบอร์
.
..........
.
..........
.
..........
.
"ขอความช่วยเหลืออย่างฉุกเฉิน ฟังให้ดีนะ" ผมกล่าวทันทีที่พี่ชายรับสาย
ผมบอกให้พี่ชายโทรหาอาชัย แล้วฝากให้อาชัยโทรหาพี่ลิฟท์ แล้วขอเบอร์โทรศัพท์ของทั้งสองคน
และบอกตำแหน่งของผมที่เนิน 491
.
แต่......ผมพูดไม่ทัน.
ขนาดกด 1234 ก็ยังพูดไม่ทัน แม่เย็ดวันนี้กูซวยจริงๆ
.
.
ผมใช้เงินจนบาทสุดท้ายกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง แล้วนั่งรอด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก
.
เหนื่อย เครียด หิวน้ำ หงุดหงิด อนาถตัวเอง และอีกหลายๆ อย่าง
.
.
.
อีกไม่นานพี่ลิฟท์ก็ขับรถมารับ ผมไปที่พัก
นึกแล้วอนาถเหลือเกิน ที่ผมขี่รถผ่านมันมาแล้ว 3 รอบ โดยที่ไม่รู้
มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก
.
เพราะโรงแรมตั้งอยู่บนเนินฝั่งตรงข้ามกับถนนใหญ่
.
เมื่อกลุ่มแรกมาถึงพวกเขาก็ข้ามถนนไปในขณะที่ผมยังอยู่ที่ตีนเขาจึงมองไม่เห็น และขี่รถผ่านไปโดยที่ไม่รู้
ส่วนกลุ่มที่อยู่รั้งท้ายก็ทราบตำแหน่งจากป๋านรินทร์ เพระแกใช้วิทยุติดต่อกับกลุ่มนำ.
.
.
ผมซึ่งขี่ตรงกลางก็เลยเน่าอยู่คันเดียว..........
รถคันอื่นเข้าที่พักประมาณบ่าย 2 โมงส่วนผมก็ 4 โมงกว่า
ถ้าคิดไประยะทางผมก็คงแถมไปไม่น้อยกว่า 30 โล
.
เก่งจังเลยกู.
.
แน่นอนบทสนทนาระหว่างอาหารมื้อค่ำคืนนั้นคงจะเป็นเรื่องอื่นไปเสียมิได้
ผมก็ได้แต่ฮาไปด้วยเพราะก็อนาถตัวเองเหมือนกัน
.
.
ผมได้บทเรียนแปลกๆ อีกแล้ว แต่ก็เชื่อว่านั่นจะทำให้ผมเป็นนักจักรยานที่ดีได้ในวันหนึ่ง
.
.
ขี่ตามๆ กันไปเถอะ ถึงชัวร์