Popular Posts

Wednesday, July 12, 2006

CADENZATO

บล็อกแรกของผมเกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้วที่ blogger ด้วยเหตุผลหลายประการ คือ
1. ไม่อยากส่งเมลยาวๆ ให้เพื่อนอ่าน ถ้าอยากรู้ข่าวคราวก็เข้ามาดูได้ที่บล็อก
2. คนมักชอบถามเรื่องประสบการณ์ซึนามิ จนขี้เกียจจะตอบ เลยเอามาลงไว้ให้ไปอ่านเอาเอง
3. หนังสือดำน้ำภาษาไทยมีแต่ระดับเบื้องต้นเท่านั้น เวลาที่สอนหลักสูตรที่สูงกว่านั้นมักจะมีปัญหาเรื่องสื่อการสอน จึงต้องเขียนคู่มือขึ้นมาเอง และอัพลงบล็อกเพื่อให้ผู้สนใจเข้ามาโหลดไปศึกษาได้
4. ผมชอบควงไฟ และอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์ จึงตั้งใจว่าจะเอาเทคนิค ต่างๆ มาเขียน แต่จนป่านนี้แม่งก็ยังไม่ได้ทำสักที

ไม่คิดว่าจะเอาบล๊อคมาแพ่มความเก็บกดในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่


เพื่อนหลายๆ คนอ่านแล้วชอบในสำนวนบ้าๆ ในเรื่องที่เขียน บางคนพิมพ์เก็บไว้ บางคนขอ Forward ให้เพื่อน

แต่มีเพื่อนคนหนึ่งพิมพ์ ออกมาแล้วไล่แจกชาวบ้าน แล้วยังอุตส่าห์เอาบล็อกผมไปโปรโมทที่บล็อกตัวเองอีก

กระนั้นก็ตามนั่นก็ยังไม่สาแก่ใจเธอ เพราะทันทีที่คนคลิกมาเห็นบล็อกผม ก็จะต้องตะลึงกะตัวอักษรมากมายมหาศาลเรียงติดกันเป็นพืด ซึ่งเป็นความทรมานลูกกะตาไม่น้อย จนเกิดอาการท้อใจเลิกอ่านไปหลายคน นอกจากนั้นคนไทยไม่ค่อยเข้าเล่น blogger กันซักเท่าไหร่ เพื่อนจึงทำบล็อกให้ใหม่ที่ Exteen พร้อมเอา entry ยังลงให้เสร็จ

อยากบอกให้คนที่ชอบธีมบล็อกรู้ว่า ก็คุณ/ไอ้ เพื่อนคนนี้แหละเป็นคนทำให้ทั้งหมด ผมแค่ถ่ายรูปแล้วส่งไปอย่างเดียว


เธอเป็นใคร?
เธอเป็นเพื่อนที่เสพสุขอยู่ในมหาลัย ในขณะที่ผมกำลังรับการพิพากษาอยู่


ขาว?
คือ อดีตที่สวยงามของเธอ


สวย?
เธอพูดบ่อยๆ ว่า “ถ้ากูเป็นผู้ชาย ก็คงจะหล่อไม่น้อย”
“ถ้ากูเปลี่ยนรสนิยม ก็มีคนจองไว้แล้วหลายคน”


หมวย?
ทั้งนัยน์ตรง และนัยน์ประวัติ


อึ๋ม?
What a fuck are you talking about!


บล็อกของเธอ?
It’s a passion! เป็นคำตอบสำหรับการเขียนบล็อค
เธอเขียนทุกอย่างที่อยากจะเขียน “This is what I think and, sorry, you gonna hear it!”


THEME
เปลี่ยนบ่อยยังกะผ้าอนามัย คุณจะพบกับความแปลกใหม่ แทบทุกครั้งที่เข้ามาเยี่ยมเยียนที่นี่


Featurte อื่นๆ
ด้วยความที่เป็นคนทีน้ำใจ เธอมักจะอัดเพลงราคาแพงระยับที่สั่งมาจากนอก
เอาไว้ให้เพื่อนได้โหลดไปฟังกันฟรีๆ
ก่อนจะตบท้ายว่า “กรุณาสนับสนุนศิลปินด้วยนะคะ”
ขอเบอร์ได้ป่าว?
ขอปฏิเสธเธอไม่ใช่นางทางโทรศัพท์ แต่เข้าไปอ่านบล็อกของเธอได้ที่
http://cadenzato.exteen.com

ด้วยการดันของเจ๊
http://de-underwater.exteen.com
จึงเป็นบล็อกที่มีผู้อ่านมากที่สุด แม้ว่าจะทำขึ้นมาทีหลังก็ตาม

ปัจฉิมลิขิต
เธอคือเพื่อนที่จริงใจ และเป็น Blogger อย่างแท้จริง

Wednesday, April 12, 2006

ชีวิตหลังเขาที่เกาะเต่า และ The Animal Party - แม่คนที่สอง


ปรมาจารย์ซุนวูท่านว่า
ทหารม้าหนึ่งนาย ต่อกรกับทหารเดินเท้าได้สามนาย
.
.
.
เราย่อมต้องการคนมีฝีมือมาร่วมงาน
และพี่อี๊ด ก็คือคนทำงานประเภทนั้น
…………………………..

ผมเกือบจะรู้จักกับบุคคลท่านนี้ตั้งแต่ปลายปี 2544
ผมจบ Dive Master เมื่อปลายเดือนสิงหาคมแล้วกลับกรุงเทพ
ส่วนพี่อี๊ดเริ่มงานที่ Blacktip หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์

แต่เนื่องด้วยผมกลับไปเยี่ยมเยียนที่นั่นบ่อยๆ พี่อี๊ด จึงเป็นคนแรกในแก๊งที่ผมรู้จัก

เราได้ร่วมงานกันอย่างจริงจังในอีก 3 ปีต่อมา เมื่อผมกลับไปสอนดำน้ำอย่างเต็มตัวที่นั่น

ครูสอนดำน้ำนั้น ใช่ว่าจะดำน้ำอย่างเดียว ยังจะต้องสามารถขายคอร์สดำน้ำแล้วจัดการกับงานเอกสารด้วย
ซึ่งเป็นเรื่องปวดกบาลสำหรับผมไม่น้อยเพราะแต่ละหลักสูตร ก็มีหลาย Option และราคาก็จะแตกต่างกัน
ลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่ ก็ราคาไม่เท่ากันอีก.........นี่ยังไม่รวมถึงราคาที่พัก เรือคายัก Wakeboard แล้วก็เหี้ยห่าอะไรอีกสารพัด

ซึ่งผมก็ไม่เคยจำควยอะไรได้เลย

เวลาที่นึกไม่ออก ก็ท่องคาถานึกอะไรไม่ออก พี่อี๊ดช่วยคุณได้
ถามไรตอบได้หมด ยังกะ สาลิกา/อับดุล.........หรือ อะไรประมาณนั้น

นอกจากนั้นพี่อี๊ด ยังสอนดำน้ำในบางหลักสูตรได้ด้วย
น่าเสียดายที่แกไม่ชอบสอน ไม่งั้นก็คงเป็นครูเต็มตัวไปชาติกว่าแล้ว
ครูขวัญก็คงจะไม่เกิด

พี่อี๊ดมาเสียอยู่อย่างคือ ชื่อแกนั้นฟังแล้วรู้สึกคันหูยังกะชื่อแม่.....หรือ ที่เพื่อนๆ เรียกว่า แม่...ง
วันดีคืนดี ผมก็เลยเรียกแกว่าแม่ ซะงั้น
แล้วแกก็เรียนผมว่าลูกขวัญ
เรียกไปเรียกมาก็เสือกติดซะอีก
ไม่ต่างอะไรกับการเยะที่ติดแล้วเลิกยาก

ถึงแม้พวกเราจะอยู่เกาะ (แถมยังเสือกเป็นด้านหลังเขาอีก เดินทางไปถึงได้ด้วย 4*4, ตีน, มอไซค์เล็ก และมอไซค์วิบาก, เท่านั้น)
แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้นิสัยรักการอ่านของแม่หายไป
เวลาที่พวกเราคนใดคนหนึ่งไปกรุงเทพฯ ก็จะต้องแบกหนังสือกลับมามากมาย เพื่อแบ่งกันแทะ
บางทีก็ต้องไปสั่งที่ตลาดแล้วให้รถไปเอา
แม่ชอบอ่านตั้งแต่ นิยาย, ไปจนถึงหนังสือคนใช้
แต่ก็มาตายกับหนังสือ เที่ยวบินกลางคืน ของผม – หนังสือเล่มเล็กๆ แต่จัดว่าโหดเลยทีเดียว ถ้าไม่มีอารมณ์ร่วมก็ยากที่จะอ่านจบ

ช่วงปี 47 ไม่รู้เป็นห่าไร ลูกค้าเข้ามาน้อยเหลือเกิน จนตกดึกพนักงานเซ็งจัดต้องเคี่ยนรถขับสี่ ข้ามเขาไปแรดกันอยู่บ่อยๆ

บางขับรถไปแค่กินบะหมี่ บางทีก็ไปเต้นกันกระจาย
แต่ปีนั้นแรดกันบ่อยมากจนเงินไม่มีจะเก็บ
ก็แม่เล่นทั้งดูด ทั้งกระดก นี่หว่า

ปีต่อมาเราออกไปแรดกันน้อยลงเพราะปฏิบัติตามนโยบายใช้ 3 ส่วน ออม 1 ส่วน

วันหนึ่งแม่ไปหาหมอ “แม่เป็นไรอะ” ผมถาม
“หมอบอกว่า หลอดลมอักเสบ” แม่ตอบ
“จริงหรอแม่ เอาที่หมอเขียนมาให้ดูหน่อยดิ๊”
ผมถามต่อ “เฮ้ย ไอ้ Bronchi (อ่านว่า บรอน-ไค) มันถุงลมไม่ใช่หรอ”
“ไม่ใช่มั้งลูก....” แม่ตอบหน้าเจื่อนๆ
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเช็คจากหนังสือดำน้ำให้อีกที เพราะอาการปอดขยายตัวแบบมากเกินไปแบบ Mediastinal Emphysema มันเกิดที่ Bronchi”
.
.
.
วันรุ่งขึ้น
“เช็คให้แล้วแม่ Bronchi มันเป็นส่วนของหลอดลมที่เชื่อมกับปอด ถุงลมมันต้อง Alveoli”
“โห ลูกเล่นทำซะแม่ใจหายเลย”

ความมั่วของผมก็ทำให้พี่เสียววาบไปเหมือนกัน....

พี่อี๊ด เป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตกูนี่โคตรสบายเลย
วันๆ ไม่ต้องทำห่าอะไรมาก แค่เลี้ยงลูก (กระโปก) ให้รอดก็พอแล้ว
ขณะที่พี่อี๊ดต้องเลี้ยงน้องชาย (อาร์ต) และแม่หนึ่งอีกคน

พอดีว่าที่ร้านจะออกโปรแกรมกินนอนบนเรือจากเกาะเต่าไปหมู่เกาะอ่างทอง
พี่อี๊ด จึงชวนอาร์ตมาเป็นพ่อครัวบนเรือ เพราะจัดว่าทำอาหารเก่งเลยทีเดียว
จากการที่แดกอาหารฝีมือน้องเค้า มาแล้วหลายมื้อ ผมปักใจเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าทริปนี้จะได้ Enjoy fucking เอ้ย eating แน่ๆ

ไม่รู้เป็นห่าไร ทำไมชีวิตจริงมันมักจะต่างกับสิ่งที่เราคิดเอาไว้

เรือออกไป ไม่ถึงชั่วโมง ผมหันไปมองหน้าอาร์ต
“เหี้ย ฉิบหายแล้วสิ” ผมนึกในใจ
ใครจะไปคิดมาก่อนว่าอาร์ตจะเสือกเมาเรือขนาดนี้ แล้วระหว่าง 2 วันนี้จะไม่มีการเข้าฝั่งเลย อาร์ต เอ๊ย.....ตายแน่
แล้วน้องท่านก็เมาตลอด 2 วัน จริงๆ
ถ้าให้ผมเลือกระหว่างเมาเรือ 2 วันกับโดนอัดตูด
ผมเลือกอย่างหลังโดยไม่ต้องคิด

ครูขวัญผู้ยิ่งใหญ่แต่ทำกับข้าวหมาไม่แดก ก็ต้องลงมาช่วยบ้าง
โชคดีที่เด็กเรือหรือน้องเดย์ (รัจฉาน) ที่วันๆ แม่ง ปล่อยแต่มุขข้าวเหนียว (ทั้งฝืดทั้งลาว) อันแสนจะอ้อนพระบาท
ขี่โลมาขาวมาช่วย ก็เลยพอจะมีแดกกัน
ส่วนคุณอาร์ตก็นอนบัญชาการด้วยสีหน้า ยัง-กะ-จะ-เบ่ง-ขี้ “เดย์ เอานั่นใส่หม้อ.....”

ไม่รู้ว่าร้านจะจัดทริปไปเกาะอ่างทองอีกหรือไม่
แต่ที่แน่นอนก็คือ ยังไงอาร์ตก็คงไม่ยอมไปเป็นพ่อครัวอีก

พี่อี๊ดจึงเปิดร้านขายกาแฟโบราณ (กาแฟถุงตีน?) และขนมปังสังขยาให้อาร์ต
พวกเราก็เลยได้รับอานิสงส์ แดกฟรีไปหลายมื้อในช่วงลองสูตร
ร้านเปิดไปได้ประมาณอาทิตย์เดียวแล้วก็อาร์ตก็หายตัวไปเฉยๆ
รู้ทีหลังว่า น้องเขาไม่เข้าใจว่าทำไมของถึงขายไม่ค่อยได้ ฝีมือเขาไม่อร่อยหรือ......โถเด็กน้อย เดี๋ยวก็ส่งไปช่วยงานเพื่อนที่เขมรเลย

แต่คนที่แย่กว่าคือพี่อี๊ด เพราะนอกจากจะออกทุนให้แล้วยังจะต้องมารับช่วงต่อ
ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสำหรับคนเลิกงานแล้ว จะต้องข้ามเขาไปออกขายตอนค่ำ แล้วก็กลับมาตอนเที่ยงคืน เหนื่อยมากแต่ก็ต้องทำ ไม่งั้นที่ลงทุนไปจะเสียเปล่า แล้วใครจะเอาเงินไปเลี้ยงแม่

สิ่งทีน่าสนใจกว่านั้นคือ หลายๆ คนบอกว่าสังขยาของพี่อี๊ดอร่อย ทั้งๆ ที่แกเองเป็นคนที่ไม่กินสังขยา
?????????????
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ผลการวิจัยจากสถาบันขวัญผู้ยิ่งใหญ่พบว่า การนำคำติชมของลูกค้ามาพัฒนารสชาติอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่เอาความรู้สึกของตัวเองมาเป็นตัวตัดสิน ทำให้สังขยา และเครื่องดื่มของพี่มีรสชาติที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า

ผมเชื่อว่าแกคงไม่เคยได้ยินคำว่า Customer Retention เลยสักครั้งในชีวิต

เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่กึ๋น หาใช่ว่าเรียนปริญญาควยไรสวยหรูมา แล้วจะเก่งขึ้นมาได้

เสียดายที่ทำได้ไม่นานแม่ก็หยุดเสียเฉยๆ เพราะทำไม่ไหว

ปี 48 โกดำให้แม่ไปบริหารงานที่พักแทนงานดำน้ำ ด้วยเหตุผลว่าแม่ดูจะเบื่อกับงานไปแล้ว
ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับผู้ร่วมงานอย่างผม
ด้วยความเป็นร้านเล็กๆ และเป็นธุรกิจครอบครัว.........นานๆ ที่ก็จะมีระเบิดลงที่ร้าน
โชคดีที่ผมทำงานใต้น้ำก็เลยรอดตัวไปหวุดหวิด
คนอื่นๆ ก็ทำเฉยๆ แต่สำหรับแม่แล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่
ถ้าเป็นเรื่องปัญญาอ่อนกูก็ระเบิดใส่กลับได้เหมือนกัน
จนครั้งหนึ่งเมียโกดำหายตัวไปหลายวัน
มันช่างเป็นความกล้าหาญเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ผมพิมพ์ต่อไปไม่ไหวแล้วหากมีโอกาสจะมา Edit อีกรอบ
แต่นี่ก็คือเรื่องราวของหนึ่งในสมาชิก The Animal Party ของพวกเรา
ด้วยความเข้มแข็งและความเป็นผู้ใหญ่
พี่อี๊ด จึงถูกกล่าวถึงเป็นท่านแรก
และเป็นคนแรกที่ผมจะนึกถึง ในวันที่ผมพร้อมจะมีร้านของตัวเอง

Sunday, April 02, 2006

เรารู้จักการเดินทางดีแค่ไหน (ปัจฉิมภาค)

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการขี่จักรยานทางไกลของผม
แต่เป็นครั้งแรกที่ไปเพียงสองคน
และเป็นครั้งแรกสำหรับการปั่นที่ภาคเหนือ
เส้นทางที่ลือกันว่าปราบเซียนมานักต่อนักแล้ว

ไม่ว่าใครจะกล่าวถึงเส้นทางนี้อย่างไร
สำหรับผมแล้ว
เส้นทางนี้ทำให้ผมเข้าใจและยอมรับเงื่อนไขแห่งการเดินทางมากขึ้น
.
.
.
ไม่ต่างอะไรกับนกที่บินข้ามมหาสมุทร
ซึ่งจะบินเรียงตัวกันเป็นลูกศรเพื่อให้มีแรงต้านอากาศที่กระทำต่อกลุ่มน้อยที่สุด
คนที่ขี่จักรยานก็จะขี่ต่อกันเป็นขบวนโดยเว้นระยะห่างเพียงศอกเดียว
หาใช่พิศวาสอะไรกับตูดคนข้างหน้า
แต่จำต้องขี่ตามกันเพื่อลดแรงต้านและให้เหนื่อยน้อยที่สุด
ประมาณเอาเองว่า คนที่ขี่ตามท้ายใช้แรงเพียงสองในสามส่วนก็สามารถไปด้วยความเร็วเท่ากับคันหน้าได้

การขี่ทัวร์ริงครั้งก่อนนั้นเราขี่ดูดตูดกันตลอดหลายพันกิโล
เลยไม่ค่อยเห็นอะไรเท่าไหร่นอกไปจากล้อหลังของรถคันหน้า และตูดลุงแก่ๆ
แต่มันก็ทำให้นักปั่นทางไกลหน้าใหม่อย่างผมขี่ไปไกลกว่า 100 กิโลเมตรในวันเดียว

ถึงอย่างไรเทคนิคดังกล่าวก็ไม่สามารถใช้กับบนดอยได้ดีสักเท่าไหร่
ทิวเขาที่คดเคี้ยวและสูงชันค่อยๆ แยกพวกเราออกจากกันโดยแทบจะรู้สึกตัว
ระหว่างที่ขึ้นเขา สหายของผมก็ค่อยๆ ออกห่างไปทีละนิดๆ จนมองกันไม่เห็น
และการขี่ดูดตูดกันเพื่อลดแรงต้านก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับการขี่ขึ้นเขาด้วยความเร็วที่ไม่ต่างอะไรจากการเดิน
รถคันที่ขี่ตามหลังจึงไม่ได้อานิสงส์จากการแหวกอากาศของคันหน้า
ผมไม่ต้องการจะขี่นำหน้า
แต่นั่นก็เป็นความเร็วเดียวที่ผมขี่ได้
เพราะหากว่าช้ากว่านั้นรถจะทรงตัวได้ลำบาก แล้วก็จะเมื่อยมากถึงมากที่สุด
ดังนั้นต่างคนจึงไปต้องตามกำลังของตัวเอง
แล้วหยุดพักเรอเมื่อถึงที่ ที่เหมาะสม

ซึ่งก็คือ
ที่พักริมทาง
หรือจุดเยี่ยวที่วิวสวย และแดดไม่ร้อน
(เพราะเกรงว่าองค์จะถูกแดด...เดี๋ยวเซียวลี้ปวยตอจะเปล่งประกายดำมากขึ้น)
ผมใช้เวลารอให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการระบายความร้อนออกจากร่างกาย
.
.
.
หนึ่งควยก็แล้ว สองควยก็แล้ว.........
.
.
.
ในที่สุดอาชัยก็ตามทัน
อย่าลืมว่าแกต่อให้ผมยี่สิบปี


เมื่อลงเขาทุกอย่างดูเปลี่ยนแปลงราวกับหน้ามือเป็นหลังตีน
ความคดเคี้ยว ลาดชัน และฝีมือ ทำให้เพื่อนร่วมทางของผมหายไปในพริบตา
จนอดสงสัยไม่ได้ว่า
แอบเอาไนตรัสติดจักรยานป่าววะ



ทว่าการขี่ห่างกันไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าอยู่คนเดียว
เพราะเราจะต้องหยุดรถเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่า เพื่อนของเราไม่ใจดีแอบเอาแก้มไปเช็ดถนนที่ไหนสักแห่ง
ซึ่งเป็นการแสดงความห่วงใยที่ไม่ต้องพูดอะไร ที่มาจากที่ว่างที่พวกเราเว้นไว้นั่นเอง
วิธีนี้เปิดโอกาสให้แต่ละคนได้ใช้ความสามารถในสิ่งที่ตัวเองถนัด โดยที่ไม่เป็นการถ่วงเวลาให้กับเพื่อนร่วมทาง

เพราะเราไม่ได้มาคนเดียว…..........นี่อาจจะเป็นเงื่อนไขแรกสำหรับผมในการเดินทางนี้


ด้วยความที่ทั้งชัน ทั้งโค้ง ทั้งขรุขระ
พวกเราปั่นอยู่บนสันเขาเกือบจะตลอดทาง
มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้
ทั้งๆ ประมาณ 10 กว่ากิโล พวกเราก็น่าจะถึงที่พัก
แต่ไม่รู้ว่าต้องไปอีกนานแค่ไหน เพราะบางพื้นที่เราเคลื่อนที่ไปได้เร็วพอๆ กับการเดิน และยังต้องหยุดพักบ่อยๆ

ความเหนื่อยล้าทำให้ความคิดมากมายโฟ่ขึ้นมาในหัวผม
มันสับสนและวุ่นวายไปหมด
เชี่ยเมื่อไหร่กูจะถึง ยิ่งถึงช้ายิ่งไม่อยากอาบน้ำ
แล้วจะเอาแรงที่ไหนตักข้าวกิน
จะเป็นเหมือนเมื่อวานที่หลับคาจานข้าวป่าววะ ถ้าร้านค้าปิดหมดแล้วต้องแดกหญ้าหรือไง
คลื่นโทรศัพท์ก็ไม่มี
จนหากถามผมว่าตอนนั้นผมคิดอะไร
ผมก็คงจะตอบไม่ได้
เพราะมีเรื่องมากมายที่อยู่ในความคิด
และหาได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
แต่เกี่ยวพันจนไม่รู้ว่ามันคืออะไร

ผมรู้ดีว่าหากปล่อยให้ความคิดสับสนพลุ่งพล่านอยู่หัวต่อเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
อีกไม่นานผมคงขี่จักรยานต่อไปอีกไม่ไหว
.
.
.
ผมพยายามไม่คิดอะไร
คิดอยู่อย่างเดียวคือควบคุมลมหายใจให้สม่ำเสมอ
สักพักความคิดที่เคยมีมากมายก็ค่อยๆ หายไป

เหลือเพียงผม และจักรยาน
เมื่อควบคุมลมหายใจได้
ร่างกายและจิตใจก็เริ่มประสานกันเป็นหนึ่ง
ผมรู้ทันทีว่าสิ่งต่อไปที่ต้องทำคือ
การทำตัวเป็นหนึ่งเดียวกับจักรยาน
เป็นหนึ่งเดียวกันจนแยกกันไม่ออก
ราวกับว่ามันเป็นอวัยวะหนึ่งของเรา
.
..
ปรมาจารย์เอี้ยก้วย ฝึกวิชาด้วยศาสตราวุธมากมาย
สุดท้ายใช้เพียงกิ่งไผ่
เพราะสิ่งสำคัญคือการเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธ


ซึ่งก็สอดคล้องกับคำกล่าวของ ผู้เฒ่าแซซุน ระหว่างการเผชิญหน้าของสองผู้ยิ่งใหญ่ (ลี้คิมฮวง และเซี่ยงกัวกิมฮ้ง)
.
.
ในที่สุด มือเซี่ยงกัวกิมฮ้งก็ถูกชักออกมาจากแขนเสื้อ
เป็นมือเปล่า !
ลี้คิมฮวงกล่าว
“ห่วงของท่านเล่า ?”
.
.
.
“ในมือไร้ห่วง ในใจมีห่วง”
นี่คือจุดสุดยอดแห่งวิชาบู๊แล้ว
นี่เป็นระดับเทพยดาแล้ว !
ผู้อื่นไม่เข้าใจ ลี้คิมฮวงเข้าใจกระจ่าง !
.
.
.
ทันใดนั้นมีเสียงกล่าวขึ้น
“ที่พวกมันจะต่อสู้ เนื่องเพราะมันความจริงไม่รู้แก่นแท้ของหลักวิชาบู๊เลย”
.
.
.
“สุดยอดวิชาบู๊ที่แท้จริง จะต้องสามารถเลิศพิสดารปานปาฏิหาริย์ ถึงระดับไร้ห่วงไร้เรา
ลืมห่วงไปสิ้น นั่นจึงจะบรรลุทุกสรรพสิ่ง ทำลายในทุกสรรพสิ่งได้”
.
.
.
แต่นั่นก็หาใช่ที่สุด
เพราะการจะพิชิตยอดเขานั้น
หาใช่เพียงการเป็นหนึ่งกับจักรยาน
และหาใช่การใช้เพียงกำลังเพื่อไปให้ถึงที่หมาย
นอกจากจะต้องเป็นหนึ่งกับจักรยานแล้ว
ยังจะต้องเป็นหนึ่งกับธรรมชาติอีกด้วย
เพราะนั่น ก็คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เราเดินทางไปหามันมิใช่หรือ

ผมนึงถึงหนังเรื่อง Hero ที่ฉายบนรถทัวร์ในวันแรกที่เดินทางมา
“กระบี่หัก” มิได้เพียงมอบกระบี่เล่มนั้นให้แก่ “ไร้นาม”
ทว่าได้มอบตัวอักษรตัวหนึ่งฝากไปให้ จิ๋นซีอ๋องด้วย
ตัวอักษรนั้นเขียนว่า
“ใต้หล้า”
คำคำนี้เริ่มด้วยคำว่า คน
และในมือคนก็มี กระบี่
แต่เมื่อรวมเป็นคำว่าไต้หล้า กระบี่ในมือก็จะหายไป
เพราะเมื่อเป็นปึกแผ่นแล้วใยจำเป็นต้องฆ่าฟันอีก

คน กระบี่ และแผ่นดิน จึงถูกหลอมรวมเป็นหนึ่ง................ไม่มีคน ไม่มีกระบี่
………………………………….
…………………
……
..
.

การปั่น (คลาน?) อยู่เพียงลำพังทำให้ผมสามารถให้ความสนใจกับธรรมชาติรอบตัวได้มากขึ้น
ความคิดที่จะเอาชนะธรรมชาติค่อยๆ ละลายไปขณะที่ผมกำลังจะถึงจุดที่สูงที่สุดบนดอยนั้น

เรามักได้ยินคำพูดให้กำลังใจ (หลอกให้ทะเยอทะยาน?) เช่น “ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง” หรือ “จะต้องไปให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้”

ผมรู้สึกสงสัยว่าความหมายที่แท้จริงนั้นคืออะไร และมันมีอะไรอยู่บนที่สูง (ความสำเร็จ?)
เพราะบนยอดเขาที่ผมเห็นนั้นอาจต่างออกไป
….
....................
......................................
สูงกว่าขุนเขายังมียอดหญ้า
สูงกว่ายอดหญ้ายังมีแผ่นฟ้า
ซึ่งหาได้ลอยเด่นดังวิมาน
หากแต่ตั้งอยู่บทแผ่นดินเช่นกัน
..............................................
.......................
........


จริงอยู่ที่เมื่อถึงผ่านจุดที่สูงที่สุดไปแล้ว
อีกด้านหนึ่งของเส้นทางก็ยังเป็นทางลาดชัน
แต่เป็นทางลาดที่นักที่สามารถผ่านไปได้โดยที่ไม่ต้องออกแรง
รสชาติของความสำเร็จอาจมิใช่การไปถึงแต่อาจเป็นการออกห่าง
ลงสู่จุดที่ต่ำที่สุด ต่ำเสมอจุดเริ่มต้น

ทว่ารสชาตินี้อาจเป็นรสขมสำหรับคนไม่น้อย
ย่อมนับผู้ที่กลัวความเร็ว
ย่อมนับผู้ที่ไม่ชำนาญรถ
ย่อมนับผู้ที่ไม่ชำนาญทาง (อันคดเคี้ยวและสูงชัน)
สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าความเป็นหนึ่งเดียวของ คน รถ และเส้นทางสามารถเปลี่ยนรถขมนี้ให้เป็นอื่นได้หรือไม่

ความจริงที่เอามาพูดเล่นคือ
มนุษย์บางจำพวกแบกจักรยานขึ้นเขาเพื่อปั่นลง
มนุษย์บางจำพวกปั่นจักรยานขึ้นเขาเพื่อแบกลง



ฟังดูตลกอนาถ แต่นั้นก็สะท้อนบางอย่างที่ตรงกันมิใช่หรือ?

คงปฏิเสธได้ยากหากจะกล่าวว่า ความสุขของแต่ละคนนั้นต่างกัน
วิธีแสวงหาและปริมาณที่ต้องการย่อมแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน
ทว่าสิ่งสำคัญคือ เรารู้จักตัวเองและสร้างสมดุลให้กับชีวิตได้ดีแค่ไหน



เซี่ยงกัวกิมฮ้งหน้าเครียดเย็นชา กล่าวเสียงกระด้าง
“เหตุผลทุกคนต่างกล่าวได้ ปัญหาอยู่ที่ว่ามันสามารถกระทำได้หรือไม่ ?”

Sunday, March 26, 2006

ความคิดเมื่ออยู่เพียงลำพัง - รองเท้าของผม 2


รองเท้าคู่เล็กนั้นทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาในวัยเด็กที่เราช่างดูอ่อนแอ บอบบาง และดูแลตัวเองไม่ได้
หลายปีก่อนยายชอบเล่นกับผมบ่อยๆ ว่า “เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ถ้ารู้ว่าโตแล้วจะเป็นแบบนี้ จะเอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เด็กแล้ว”

เรามีช่วงวัยทารกที่ยาวนานเสียเหลือเกิน กว่าจะดูแลตัวเองได้
กว่าตีนเท่าฝาหอยจะเป็นตีนที่ใหญ่อย่างยิ่ง ยาวอย่างยิ่ง
ก็ได้เคยฝากชีวิตไว้กับคนหลายคน

จึงอยากจะบอกขอบคุณทั้งคนที่ให้ชีวิต คนที่เลี้ยงดู และคนอื่นๆ อีกมากมาย
ที่ทำให้อยู่รอดมาได้จนถึงวันนี้
แม้บางครั้งอาจไม่ได้แสดงออก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราลืมสิ่งสำคัญนั้นไป

บางครั้งรู้เหนื่อยที่ต้องดูแลคนในครอบครัว
แต่พอเห็นรองเท้าแล้วก็พูดไม่ออก เพราะสิ่งที่เราทำนั้นมันเทียบไม่ได้หรือกับสิ่งที่เราเคยได้รับมา
ความเหนื่อยล้าจึงหายไปชั่วขณะ

ผมไม่เข้าใจความคิดของคนที่พูดว่า จะออกไปสร้างครอบครัว
หรือ จะไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
เพราะหากเขาไม่ใช่เด็กกำพร้า ที่เหลืออยู่ตัวคนเดียว
แล้วคนที่อยู่เขาอยู่ด้วย หรือกลับไปหาในวันหยุดนั้น ไม่ใช่ครอบครัวของเขาหรือไง


(บทส่งท้าย – ผมเขียนบทส่งท้ายไม่บ่อยนักในงานเขียน มันเหมือนกับการเจียรนัยที่เราจำเป็นต้องสกัดเอาส่วนสำคัญบางส่วนออกโดยไม่ควรคำนึงว่ามันมีค่าเพียงไร หินที่ไม่ถูกขัดเกลาก็หามิต่างอะไรกับก้อนกรวด แต่เราจะลืมไม่ได้ว่าสะเก็ดที่ถูกสกัดออกไปนั้นคุณค่าภายใจก็ยังอยู่เช่นเดิม และสิ่งเหล่านี้เองที่ประกอบขึ้นเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความคิดสำคัญขึ้นมา จึงรู้สึกเสียหายหากปล่อยให้มันเลือนหายไป)
จากผู้เขียน

ยากจะเชื่อว่าการไปร้านซ่อมจักรยานเมื่อช่วงปีใหม่ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของงานชิ้นนี้
วันนั้นได้คุยกับช่างเรื่องยากจักรยานที่มักจะแตกเมื่อที่ทางไกล
พี่โพลค์ (ช่าง) บอกว่าวันไหนยางมันจะแตกก็แตก
หาชุดปะยางดีๆ เตรียมไว้ดีกว่า และแนะนำให้ใช้กาวยี่ห้อ KKK ที่หาได้ตามร้านช่างทั่วไป
ซึ่งผมก็ยังไม่ได้ซื้อเพราะหลอดเก่ายังไม่หมด
.
.
.
จนวันที่ปั่นอยู่ที่แม่ฮ่องสอน ยางผมแตกระหว่างทาง
โชคดีที่ไม่ได้แตกตอนหมาไล่ ไม่งั้นไม่กูมึงต้องได้ตายกันไปข้าง
ด้วยความรีบผมยัดยางในเส้นใหม่ใส่เข้าไปแทนที่จะปะยางเส้นนั้น

ไม่รู้ตอนไหนอาชัย สหายร่วมทางเอายางเส้นนั้นไปปะแล้วคืนให้ผมพร้อมกับกาว KKK หนึ่งกระปุก
แกบอกว่าซื้อมาเกิน ขวัญเอาเก็บไว้แล้วกัน
แล้วผมเก็บจริงๆ (เก็บจนลืม)

จนกระทั่งวันหนึ่งผมจำเป็นต้องเอารองเท้าหนังสุดรักมาใช้
แม้จะมีสภาพซอมซ่อเต็มที แผ่นยางด้านล่างแทบจะล่อนออกมาทั้งอัน พื้นรองเท้าด้านในเละยังกะโดนกุญชรสังวาส

แต่ผมถือว่าหากนิ้วหัวแม่ตีนยังไม่โผล่ออกมาแปลว่ายังใช้ได้

ผมเริ่มซ่อมมันในวันรุ่งขึ้นและแน่นอนกาวกระปุกนั้นต้องถูกนำมาทดสอบว่าแจ่มตามคำอ้างหรือไม่
จากนั้นผมจึงออกไปแรดเพื่อซื้อพื้นรองด้าวในมาใส่
อะไรๆ เหมือนจะเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังดูทะแม่งๆ หากไม่ได้ขัด
แล้วความคิดมากมายก็โฟ่ออกมาทันทีที่ผมขัดรองเท้าคู่นั้น ดังที่กล่าวไว้มันคือความคุ้นเคยที่ถูกลืม
จนผมรู้สึกแปลกใจว่าลืมความรู้สึกนี้ไปได้อย่างไร

ผมคิดย้อนไปจนถึงว่าหากวันนั้นผมไม่ได้ไปรานจักรยาน แล้วผมจะได้มานั่งขัดรองเท้าอีกหรือไม่
หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นมานั้นหาใช่เรื่องบังเอิญ แต่เกิดจากเหตุปัจจัยหลายอย่างส่งผลต่อๆ กันมา
เหมือนกับการมีชีวิตที่จะต้องอยู่ร่วมและพึ่งพาบุคคลต่างๆ มากมาย
เราไม่ได้เป็นแบบนี้ทันทีที่เกิดมา

Sunday, March 19, 2006

ความคิดเมื่ออยู่เพียงลำพัง - รองเท้าของผม


เกือบสองปีแล้วที่รองเท้าคู่นี้ไม่เคยถูกนำมาขัด

มันเป็นนิสัยที่ผมติดมาจากรองเท้าคู่เก่า ซึ่งผมมักปลีกตัวออกมานั่งขัดรองเท้าอยู่ลำพังในโรงรถในทุกคืนวันพฤหัสบดี

อาจดูเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเด็กมัธยมหลายๆ คนที่ทุ่มเทเวลาและความสนใจทั้งหมดในชีวิตไปกับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย

แต่สำหรับผมแล้ว ในเวลานั้นผมไม่อาจทุ่มความสนใจให้กับอะไรได้ทั้งสิ้น

การขัดรองเท้าเริ่มขึ้นทันทีหลังจากเสียงลูกเหล็ก และเสียงตะโกนโหวกเหวกของผมสิ้นสุดลง สมองของผมเกือบจะว่างเปล่าหลังจากการฝึกที่แลกด้วยเวลาและเรี่ยวแรงทั้งหมด
มันคือเวลาเดียวที่จิตใจอันเหนื่อยล้าหยุดได้พัก
และเยียวยาตัวเองอย่างเงียบๆ เพียงลำพัง
ผมอยากจะหยุดเวลาไว้เพียงเท่านี้ แม้รู้ทั้งรู้ว่ามันมิอาจเป็นไปได้
.
.
.
รองเท้าแม้มีสีดำทว่าขัดให้ดีแล้วเราจะมองเห็นมิติลึกๆ ที่อยู่ภายใต้
เหมือนกับใจเราที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่รู้ว่ามีความคิดอะไรบ้างอยู่ภายใน
ความคิดมากมายวาบขึ้นมาราวกับเป็นเงาสะท้อนจากรองเท้า ระหว่างที่เราได้อยู่เพียงลำพัง ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น
.
ผมจึงขัดรองเท้าไปเรื่อยๆ
เพื่อให้จิตใจได้หยุดพัก และพิจารณาสิ่งต่างๆ รอบตัวได้นานที่สุด
.
รองเท้าที่มันวาวอาจเป็นเพียงผลพลอยได้
แปรงขนและก้อนสำลีหาได้เพียงชักเงาให้รองเท้า แต่ได้ดูแลรอยแผลมากมายภายในจิตใจ
.
.
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากรองเท้าของผมดูมันเงาเสมอในหลายรอบหลายปีที่ผ่านมา
.
.
.
.จนกระทั่งผมออกจากมหาลัย
รองเท้าที่เคยใส่ทุกวันกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นการขัดรองเท้าค่อยๆ กลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
จนเมื่ออาทิตย์ที่ก่อน

..............

ผมทนดูความทุเรศของรองเท้าตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เชื่อว่าถ้าปล่อยให้อีกไม่นานก็คงเกินเยียวยา
การซ่อมจบลงที่การทำความสะอาด และแน่นอนผมต้องการให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
.
.
ทันทีที่เริ่ม
ความคิดมากมายวาบขึ้นมา................มันเป็นความรู้สึกคุ้นเคยที่ถูกลืม

เรื่องราวมากมายในอดีดผุดขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ
น่าแปลกที่แม้ว่ามันจะเป็นความสุขหรือทุกข์เพียงใด แต่เมื่อเรามองย้อนกลับไป
มันดูสวยงามเสมอ
.
.
.
ภาพรองเท้าคู่แรกของผมวาบขึ้นมาเตือนให้ผมไม่ลืมเรื่องราวที่สำคัญในอดีต
คงมีเด็กไม่กี่คนที่ได้ใส่รองเท้าหนังตั้งแต่เกิด
นั่นไม่ใช่เพราะความดัดจริตเลยแม้แต่น้อย ทว่าคือความผิดปรกติของเท้าผมเอง

ผมแสดงความไม่ธรรมดาตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ ด้วยการถีบถุงน้ำแตกจนต้องผ่าออกมาก่อนกำหนด
(...คงไม่รู้มาก่อนหละซิว่ากูตายยากมาตั้งแต่เกิด...)
และยืนยันในความไม่ธรรมดาอีกครั้งด้วยรูปทรงที่ไม่เหมือนชาวบ้านของเท้าข้างเดิม
หมอให้รองเท้าบู๊ตสีขาวเป็นของขวัญวันเกิดที่ไม่เต็มใจจะได้สักเท่าไหร่ ซึ่งผมจะต้องใส่รองเท้าแบบเดียวกันไปอีก 10 ปี

แม่บอกว่าผมร้องไห้จ้าทุกทีที่ใส่รองเท้าจนยายสงสารจนต้องถอดออก

แต่แม่จอมโหดของผมเห็นเมื่อไหร่ก็จับใส่เมื่อนั้น โดยไม่คำนึงถึงลูกน้อยที่น่ารักว่าจะทุรนทุรายขนาดไหน
แต่ก็เพราะความใจโหดหินของแม่นั่นเองที่ทำให้ผมเดินได้ปรกติเหมือนชาวบ้าน

การผมต้องใส่รองเท้าบู๊ตไปโรงเรียนตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมเคยชินกับการทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน
ทุกครั้งที่เปิดเทอมผมต้องตอบคำถามเดิมๆ จากครูแม่งแทบจะทุกคนว่าทำไมใส่รองเท้าแบบนี้
แต่ผมไม่เคยรู้สึกว่านั่นเป็นปมด้อยเลย
ตรงข้ามวันไหนผีเข้าผมก็ขัดรองเท้าไปโรงเรียนให้เพื่อนหมั่นไส้เล่นๆ
สิ่งที่ผมต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่นจริงๆ อาจเป็นเรื่องที่ผมไม่เตะบอล เพราะรองเท้าแม่งหนักมากเนื่องจากจะต้องถ่วงเท้าให้เหยียบพื้นอยู่เสมอ

รองเท้าคู่สุดท้ายแม่งกวนตีนมากเพราะข้างซ้ายและขวาจะดูกลับกัน…………. และคนก็จะทักอยู่นั่นแหละ.....จนผมอยากจะแจกบู๊ตให้กินเป็นของว่าง
ด้วยความที่มันกวนตีนผมจึงไม่ได้เก็บรองเท้าคู่นั้นไว้
เหลือเพียงคู่แรก
.
.
.
มันยังอยู่ในสภาพดี แม้ว่าจะมีอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว
ผมนำมันมาวางคู่กับรองเท้าคู่ปัจจุบันที่ผมกำลังขัดอยู่
นอกจากสีที่ตรงข้าม ขนาดก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง
จนอาจจะเรียกได้ว่าความเหมือนที่แตกต่าง

(ต่อภาค 2 )

Friday, March 10, 2006

ชีวิตหลังเขาที่เกาะเต่า และ The Animal Party

ชีวิตหลังเขาที่เกาะเต่า และ The Animal Party

ผมเริ่มงานที่เกาะเต่า 2 สัปดาห์หลังจากที่ผมจบมหาลัยในปี 2547
แม้ว่าผมจะสอนดำน้ำมาก่อนหน้านั้นมาแล้วปีกว่า แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นการทำงานเต็มรูปแบบเช่นครั้งนี้
หากกล่าวว่านี่คือที่ทำงานแห่งแรกของผมก็คงจะไม่ผิดเสียทีเดียว
และปัจจุบันผมก็ยังแวะไปเยี่ยมเยียนที่นั่นบ่อยๆ
.
.
.
ผมไม่รู้สึกว่า แบล็คทิพไดว์วิ่ง หากแต่เป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของผม
มีบทเรียนมากมายที่ผมได้รับจากที่นี่
โดยเฉพาะจากพี่ๆ ที่ร่วมงานด้วยกัน และเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีที่สุดในชีวิต
.
.
.
ที่ริมหาดคืนนั้น พี่เบิ้ล หนึ่งในสมาชิกของพวกเรา
อยู่ดีๆ ก็บอกกับผมว่า

“พี่คงไม่ได้มีประสบความสำเร็จเหมือนขวัญหากวันไหนที่ขวัญมีชื่อเสียง แล้วเขียนหนังสือขึ้นมา ขอให้พี่ได้อยู่ในหนังสือของขวัญด้วย หรือ ขอให้มีความคิดของพี่อยู่ในนั้นสักเรื่องก็ยังดี”

ผมอยากบอกให้พี่รู้ว่า วันที่ผมประสบความสำเร็จ หรือมีชื่อเสียงอาจไม่มีวันมาถึง ทว่าเรื่องราวและความคิดของพี่ได้อยู่ในงานเขียนของผมแล้ว
.
.
.
ด้วยความรัก และ เคารพ

ขวัญ ผู้ยิ่งใหญ่จนมิอาจนอนคว่ำ

โปรดอดใจรอพบกับพี่ๆ ที่รักของผม

Friday, March 03, 2006

ความทรงจำในโลกใต้น้ำ ภาค ๒ - ความสุขในการดำน้ำ

สมัยที่ผมดำน้ำใหม่ๆ นั้น ก็คงจะเหมือนนักดำน้ำหลายๆ คนที่
อยากเห็นฝูงปลา ปลาใหญ่ๆ สัตว์หน้าตาแปลกๆ ปะการังสวยๆ น้ำใสๆ ฯลฯ
จนเมื่อห้าปีที่แล้ว
ผมพบว่าเราแม้ว่าจะไม่มีสิ่งเหล่านั้น
เรายังสามารถมีความสุขกับการดำน้ำได้


เพียงแค่เราได้ลงไปลอยอยู่กลางน้ำ
มองดูฟองอากาศที่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ
ฟองอากาศเล็กๆ ที่เราหายใจออกมา
ค่อยๆ ลอยขึ้น และโตขึ้นทีละนิดๆ
จนแตกออกมาเป็นหลายๆ อัน
แล้วก็ค่อยๆ ลอยขึ้น และโตขึ้นอีก
แล้วก็แตกออกมาอีกเป็นกลุ่มฟอง
มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงผิวน้ำ

หลายคนอาจเคยเห็นสิงห์อมควัน
พ่นก๊าซสีเทาออกมาเป็นรูปวงแหวน
หรือ ที่เรียกกันจนติดปากว่าทำโดนัท
แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า
เราสามารถทำโดนัทเมื่ออยู่ใต้น้ำได้เช่นกัน
และฟองอากาศรูปวงแหวนนี้
จะค่อยๆ โตขึ้นๆ เช่นเดียวกับฟองอากาศ
ที่เราหายใจออกมา
แล้วก็แตกออกเป็นกลุ่มฟองในที่สุด

ที่สภาวะเสมือนไร้แรงโน้มถ่วง
จะตีลังกากลับหัวกลับหางอย่างไรย่อมทำได้
หลายสิ่งที่ทำไม่ได้บนบก เป็นไปได้ที่นี่
เราสามารถลอยหรือจมได้ดังใจ
เมื่อเราหายใจเข้าปริมาตรปอดจะเพิ่มมากขึ้นเราก็จะลอย
และเมื่อเราหายใจออกปริมาตรปอดจะลดลงเราก็จะจม
มันเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่มีความคุ้นเคยกับมัน

ณ เวลานั้นผมเรียกสิ่งนี้ว่า “ความสนุกกับสภาวะใต้น้ำ”
.
.
.
มีความคิดและความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นเมื่ออยู่ใต้น้ำ
แต่ที่น่าเสียดายคือมันนึกออกเฉพาะตอนที่อยู่ใต้เท่านั้น
ผมดำน้ำมานานพอสมควร แต่แทบจะไม่เคยบันทึกเรื่องนี้เอาไว้
แล้วก็ไม่ค่อยคุยกับใครเรื่องนี้ด้วย
เหตุผลง่ายๆ คือ...พอขึ้นมาแล้วมันก็ลืม

จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วขณะที่ผมกำลังดำน้ำอยู่ที่กองชุมพร
ปลาขนาดใหญ่มากตัวหนึ่งได้ว่ายเข้ามาอย่าช้าๆ
ปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ ที่เราเรียกว่า ฉลามวาฬ
ได้ปรากฏให้พวกเราได้เห็นในระยะใกล้ๆ
แม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้สัมผัสกับมัน
แต่มันก็กว่าสี่ปีแล้วที่ผมไม่เคยได้เห็นอีกเลย
ความประทับใจในอดีตวาบขึ้นมา

มันชัดเจน และรุนแรง จนมิอาจจะเชื่อว่า
ราวกับว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้น

ความรู้สึกในวันนั้นมีพลังมากพอจนยากจะลืม แม้ขึ้นสู่ผิวน้ำแล้ว
และยังเตือนให้เราไม่ลืมว่า มีความรู้สึกบางอย่างที่เราสัมผัสได้ยามที่เราอยู่ใต้น้ำเท่านั้น
ซึ่งในยามปรกติเราไม่อาจสัมผัสได้
รู้เพียงแต่ว่ามีความรู้สึก แต่ไม่สามารถสัมผัสได้ว่าความรู้สึกนั้นเป็นอย่างไร
นอกเสียจากว่าเราสามารถถ่ายทอดออกมาได้ในวินาทีนั้น
.
.
.
ผมจึงเรียกมันว่า “ความทรงจำในโลกใต้น้ำ”

ความทรงจำในโลกใต้น้ำ ภาค ๑ - หน้าที่ดูแล


เรื่องง่ายๆ บางเรื่อง อาจกลายเป็นเรื่องยากหากจะต้องนำมาถ่ายทอด
หากไปถามช่างสีว่าจะต้องผสมอะไรบ้างจึงจะได้สีออกมาตามที่ต้องการ
ช่างอาจให้คำตอบที่เราต้องการไม่ได้
นอกเสียจากว่าเขาจะทำให้ดู

แน่นอนว่าช่างไม่ได้โง่
และช่างก็ไม่ได้เป็นใบ้
แต่เรื่องบางเรื่องนั้นหาใช่อธิบายได้ง่าย
นอกเสียจากว่าจะต้องลงมือทำแล้วจะนึกออกเองว่าจะต่อทำอะไรบ้าง

...................................................................


ในวินาที่ขอบหน้ากากพ้นผิวน้ำ
หลายสิ่งหลายอย่าง โฟ่เข้ามาในจิดใต้สำนึกของผม
การแสดงออกของผมเปลี่ยนไป นั่นอาจเป็นเพราะเราไม่สามารถ
พูดคุยได้อย่างปรกติอีกแล้ว
แววตา และท่าทาง เท่านั้นคือสิ่งที่เราใช้สื่อสารในวินาทีนี้
และนั่นทำให้ผมต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก
เพื่อจะได้ทราบความรู้สึกของคนที่ดำน้ำด้วยกัน

บางทีอาจเป็นเพราะ
เราไม่อาจให้อภัยตัวเองได้เลยหากมีความผิดพลาดเกิดขึ้น
ไม่ถึงกับต้องมีการบาดเจ็บเกิดขึ้น
เพียงแค่มีปัญหาเกิดขึ้น และนักเรียนรู้สึกว่าการดำน้ำเป็นเรื่องที่ไม่สนุก
และเลิกเรียนดำน้ำเสียกลางคัน
ก็จะเกิดเป็นหลุมดำในจิตใจของคนที่เป็นครูไปอีกนาน


ดำน้ำก็เหมือนกับกิจกรรมทั่วๆ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้
อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ
แต่หากเราปล่อยให้ปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นทั้งๆ ที่เราสามารถป้องกันได้
นั่นก็คือความบกพร่องที่ไม่น่าให้อภัย

นี่เองอาจจะเป็นสาเหตุให้ผมกลายเป็นคนละคนทันทีขอบหน้ากากพ้นน้ำลงไป
เรามีหน้าที่ให้ความดูแลให้คนที่มากับเรา
ประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เรารู้ว่าจะต้องทำอะไรในเวลาไหน
และทำอย่างไร จึงจะเข้าใจคนอื่นและทำให้พวกเราเข้าใจเรา
มันเป็นไปเองโดยธรรมชาติ หรือที่เราเรียกมันว่า “จิตใต้สำนึก”
มันเป็นอารมณ์ของคนทำงานที่ดีทีเดียว
มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ง่ายนัก
เหมือนกับไปถามช่างสีว่าจะต้องผสมอะไรบ้างจึงจะได้สีออกมาตามที่ต้องการ
ช่างอาจให้คำตอบที่เราต้องการไม่ได้
นอกเสียจากว่าเขาจะทำให้ดู

แน่นอนว่าช่างไม่ได้โง่
และช่างก็ไม่ได้เป็นใบ้
แต่เรื่องบางเรื่องนั้นหาใช่อธิบายได้ง่าย
นอกเสียจากว่าจะต้องลงมือทำแล้วจะนึกออกเองว่าจะต่อทำอะไรบ้าง
.
.
.
ช่างอาจดูเป็นคนที่แทบจะไม่มีความหมายอะไรสำคัญ
แต่หากในเรื่องงานที่เขาถนัดแล้ว
เขาคือคนสำคัญ
เพราะคนเราก็ไม่ได้เก่งไปหมดเสียทุกเรื่อง
แต่ก็ขอให้มีสักเรื่องที่เราทำได้ดี
เพื่อเป็นคุณค่าในของชีวิตเรา
.
.
.

Thursday, February 23, 2006

ที่ว่าง และความเข้าใจ

ถูกแล้ว เธอจะอยู่ด้วยกัน แม้ในความทรงจำอันสงัดของพระเป็นเจ้า
Ay, you shall be together even in the silent memory of God.


แต่ ขอให้มีช่องว่างในการอยู่ด้วยกันของเธอ
But let there be spaces in your togetherness,


และ ขอให้กระแสลมแห่งสวรรค์โบกโบยไปมาระหว่างเธอ
And let the winds of the heavens dance between you.

.
.
.

จงรักกัน แต่อย่าสร้างพันธะแห่งความรัก
Love one another, but make not a bond of love:


และขอให้ความรักนั้น เป็นเสมือนห้วงสมุทรอันเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างฝั่งแห่งวิญญาณของเธอทั้งสอง
Let it rather be a moving sea between the shores of you souls.


จงเติมถ้วยของกันและกัน แต่อย่าดื่มจากถ้วยเดียวกัน
Fill each other's cup but drink not from one cup.


จงแบ่งขนมปังของกันและกัน แต่อย่ากินจากก้อนเดียวกัน
Give one another of your bread but eat not from the same loaf.


จงร้องและเริงรำด้วยกัน และจงมีความบันเทิง
Sing and dance together and be joyous,

แต่ขอให้แต่ละคนได้มีโอกาสอยู่อย่างโดดเดี่ยว
but let each on of you be alone,


ดังเช่นสายพิณนั้น ต่างอยู่โดดเดี่ยว
Even as the strings of a lute are alone

แต่ว่าสั่นสะเทือนด้วยทำนองดนตรีเดียวกัน
though they quiver with the same music.


จงมอบดวงใจ แต่มิใช่ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
Give your hearts, but not into each other's keeping.


เพราะหัตถ์แห่งชีวิตอมตะเท่านั้น ที่จะรับดวงใจของเธอไว้ได้
For only the hand of Life can contain your hearts.


และจงยืนอยู่ด้วยกัน แต่ว่าอย่าใกล้กันนัก
And stand together yet not too near together:


เพราะว่าเสาของวิหารนั้น ก็ยืนอยู่ห่างกัน
For the pillars of the temple stand apart,


และต้นโพธิ์ ต้นไทร ก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้
And the oak tree and the cypress grow not in each other's shadow.


The Prophet – Kahlil Jibran
ปรัชญาชีวิต – คาริล ยิบราน
แปลโดย ระวี ภาวิไล
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ

**********************************************

บทกวีนี้อันงดงามนี้เองที่เป็นแนวทางให้กับวง Pause ในการแต่งเพลงเพลงหนึ่ง
คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากผู้ที่เคยได้ฟังผลงานของศิลปินนี้มาบ้าง จะนึกออกว่ามันคือเพลงอะไร
.
.

“ที่ว่าง” น่าจะเป็นเพลงไทยที่ผมชื่นชอบที่สุด
ไม่ใช่เพราะแต่งจากบทกวีของ คาริล ยิบราน
หรือเพราะโจ้เป็นคนร้อง
หากแต่ทุกครั้งที่ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกว่า
เราหาได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว
ยังมีคนที่เข้าใจเรายืนอยู่ใกล้ๆ
แม้ว่าเราจะไม่เคยรู้จัก
แม่ว่าท่านทั้งสองนั้นได้จากไปแล้ว
และแม้จะอยู่กันคนละช่วงเวลา
.
ยังมีคนที่เข้าใจเรา
แม้ว่าจะรักความสันโดษก็เป็นที่สุด
ความคิดของคนรอบข้างแทบจะไม่มีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตของเรา
แต่เราก็ไม่ได้แปลกแยกเสียทีเดียว
.
การมีความรักหาได้หมายความว่า
จนสิ่งต่างๆ รอบตัวล้วนหมดความสำคัญลง
หรือการมีความรักจะต้องสร้างพันธะ
ต่อกันและกัน จนทำอะไรไม่ได้
หรือ ไม่ได้แม้แต่จะฝัน
.
เราต่างล้วนมีหน้าที่ และความฝัน
และการทำหน้าที่ให้ดี
ย่อมสะท้อนถึงคุณค่าแห่งการมีอยู่ของเรา
และการมีความฝัน
ย่อมเป็นอีกเหตุผลหนึ่งในการมีชีวิตอยู่
.
***************************************
ผมพบที่คั่นหนังสือระหว่างที่ผมเขียนเรื่องนี้อยู่
มีข้อความสั้นๆ อยู่ประโยคหนึ่ง ซึ่งเมื่อหลายปีก่อนผมไม่เข้าใจจริงๆ
ว่า ความหมายของมันคืออะไร
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน จึงรู้ว่านี่อาจจะเป็นประโยคที่สะท้อน
ความคิด และความรู้สึกของเราในเวลานั้นออกมาได้ดีที่สุด
และน่าจะเป็นประโยคสุดท้ายสำหรับบทความนี้
.
“ข้าพเจ้ามุ่งทำงานให้สำเร็จ โดยมุ่งหวังมูลค่าสุดท้ายซี่งจ่ายด้วยรัก” – ไม่ทราบนามผู้แต่ง

ความสุขที่ถูกลืม

คนป่วยยังไม่ตาย
แล้วจะเศร้าไปใย
แม้นหากว่าจากไปแล้ว
ย่อมพ้นจากความทุกข์ทรมาน
แล้วจะเศร้าไปใย

คนเรายามทุกข์ใจ หาใช่ว่ามิอาจหาความสุขได้
คนเรายามสุขใจ หาใช่ว่าจะไม่มีความทุกข์
แม้นว่าทั้งสองจะเป็นสิ่งตรงข้าม

อยู่ที่ว่าเราเปิดใจยอมรับสภาพนั้น ณ เวลานั้น
ณ บริบทนั้น ได้มากแต่ไหน

เพราะทุกข์ หรือสุข อยู่ที่ใจเรานั่นเอง
.
.
.
คนตายหาใช่อยากให้เราเป็นทุกข์
เรายังจะต้องมีชีวิตอยู่
และอยู่อย่างมีชีวิต

Wednesday, February 08, 2006

เรารู้จักการเดินทางดีแค่ไหน

ท่านเศรษฐีต้องการสอนชายคนหนึ่งให้รู้จักการดำเนินชีวิต
จึงบอกให้ชายคนนั้นให้ชายคนนั้นถือช้อนที่ปิ่มด้วยน้ำมันงา
แล้วจงเดินรอบคฤหาสน์อันงดงามของท่าน
แต่มีข้อแม้ว่าห้ามให้น้ำมันงาหยดลงพื้นเด็ดขาด
.
.
.
หลังจากที่เดินรอบคฤหาสน์ เศรษฐีจึงถามชายคนนั้นว่า
“ท่านเห็นอะไรในบ้านของข้าบ้าง”
“ข้าไม่เห็นอะไรเลย เพระต้องคอยระวังไม่ให้น้ำมันงาหยดลงพื้น” ชายคนนั้นกล่าว

จากเรื่อง The Alchemist (ขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน, สำนักพิมพ์คบไฟ)


การเดินทางนั้นไม่ใช่เพียงการไปให้ถึงจุดหมาย แต่ยังรวมถึงการให้เวลากับสิ่งต่างๆ รอบตัว
หากมัวแต่ไปให้ถึงจุดหมายเราก็จะไม่เห็นอะไร
ทว่าหากให้เวลากับสิ่งรอบตัวมากเกินไป ก็ไม่อาจไปถึงจุดหมายได้

ในการเดินทางแต่ละครั้งเราก็อยากรู้เห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวให้มากที่สุด
แต่ในความเป็นจริงเราก็มิอาจทำได้
เวลา
เงิน
พละกำลัง
เพื่อร่วมทาง
ดินฟ้าอากาศ
ภูมิประเทศ
และปัจจัยอีกหลายอย่าง ได้ขีดเส้นหรือตีกรอบที่มองไม่เห็นให้กับเรา

การได้ทำอะไรตามที่ใจต้องการนั้นเปรียบเสมือนการใช้ชีวิต อันมีเราเป็นผู้กำหนด
ในขณะที่การดำเนินชีวิต นั้นคือการเดินชีวิตไปตามกรอบ หรือ ความเป็นจริง นั้นเอง

สิ่งสำคัญคือ เราสามารถสร้างสมดุลระหว่างทั้งสองสิ่งได้ดีแค่ไหน เพราะเราไม่อาจปล่อยชีวิตให้ไปเพียงทางใดทางหนึ่งได้

Saturday, January 21, 2006

Nitrox คืออะไร?

โดยทั่วไปคนมักคิดว่าก๊าซที่นักดำน้ำใช้หายใจคือ ออกซิเจน ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ถูกบางส่วน เพราะแท้จริงแล้วก๊าซที่นักดำน้ำแบบสันทนาการใช้ก็คือ อากาศปรกติที่เราใช้หายใจนั่นเอง

อากาศนั้นหากดูอย่างคร่าวๆ คือส่วนผสมระหว่าง ก๊าซออกซิเจน กับไนโตรเจน ในอัตราส่วน 21: 79 % ดังนั้นความคิดที่ว่านักดำน้ำหายใจออกซิเจน ก็ไม่จัดว่าไม่ผิดเสียทีเดียว

คนที่มีความรู้ดำน้ำขั้นพื้นฐานอาจจะจำได้ว่า อากาศที่นักดำน้ำใช้หายใจได้สร้างข้อจำกัดในการดำน้ำอย่างน้อย 2 ประการ

ประการแรก คือ ความลึก – ที่ระดับน้ำทะเล ออกซิเจนมีความดัน (Partial Pressure of Oxygen – PPO2) เท่ากับ 0.21 ATA* เมื่อลงสู่ความลึก ค่าความดันนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้น และก๊าซออกซิเจนจะมีโอกาสเป็นพิษหากว่าค่านี้อยู่ในระดับตั้งแต่ 1.4 ATA ขึ้นไป

*ATA = Atmosphere Absolute

ประการที่สอง คือ เวลาใต้น้ำ – อันนี้ไม่ได้หมายความว่าอากาศจะมีไม่เพียงพอหากต้องการอยู่ใต้น้ำนานๆ แต่หมายถึงปัญหาที่เกิดจากการหายใจเอาไนโตรเจนเข้าไปเป็นเวลานาน เมื่ออยู่ใต้น้ำ
นักดำน้ำหายใจเอาก๊าซทั้งสองอย่างเข้าไปในร่างกาย และเนื่องจากไนโตรเจนเป็นก๊าซเฉื่อย จึงไม่ถูกนำมาใช้ในกระบวนการสร้างพลังงาน (Metabolism) ไนโตรเจนบางส่วนถูกขับออกมาพร้อมกับการหายใจแต่ยังมีบางส่วนที่สะสมอยู่ในร่างกาย ซึ่งหากมีอยู่มากเกินไปก็จะเป็นอุปสรรคต่อการหมุนเวียนโลหิต

ให้มองแบบง่ายๆ ว่า ออกซิเจน มีบทบาทในการควบคุมความลึก ในขณะที่ ไนโตรเจน มีบทบาทในการควบคุมเวลา


การเอาชนะข้อจำกัดเกี่ยวกับความลึกนั้น เป็นเรื่องยุ่งยากและมีต้นทุนสูง ในขณะที่การเพิ่มเวลาใต้น้ำสามารถทำได้ไม่ยากด้วยการปรับส่วนผสมของก๊าซในถัง
.
.
.
ดังที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ หากเราหายใจด้วยอากาศปรกติภายใต้ความลึกเป็นเวลานาน ก๊าซไนโตรเจนจะสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อ กระแสเลือด ผิวหนัง กระดูก ฯลฯ ซึ่งร่างกายสามารถรับได้จนถึงระดับหนึ่งที่เรียกว่า Maximum – Value (M-Value)

หากระดับไนโตรเจนในร่างกายมีมากกว่า M-Value เมื่อนักดำน้ำขึ้นสู่ผิวน้ำซึ่งมีความดันน้อยก๊าซที่ละลายอยู่ในร่างกาย ก็จะขยายตัวออกเป็นฟอง หากอยู่ในเส้นเลือดก็จะกีดขวางการเดินโลหิต ทำให้เกิดอาการชาโดยมากมักจะเกิดขึ้นที่บริเวณข้อต่อ เช่น หัวไหล่ และข้อศอกเป็นต้น อาการนี้มีชื่อว่า “Decompression Sickness” หรือ มีนามกรเสี่ยวๆ เป็นภาษาไทยว่า “โรคน้ำหนีบ”
เมื่อทราบกันดีแล้วว่า ไนโตรเจน สร้างข้อจำกัดเรื่องเวลาให้กับนักดำน้ำ วิธีที่จะทำให้เราสามารถอยู่ในน้ำได้นานขึ้นก็คือ การลดสัดส่วนของไนโตรเจนลง หรือเพิ่มสัดส่วนของออกซิเจนขึ้น ซึ่งเราเรียกส่วนผสมนี้ว่า:

Nitrox หรือ Enriched Air Nitrox (EAN)

Nitrox คือ คำสมาสระหว่างคำว่า Nitrogen กับ Oxygen ซึ่งหมายความว่าส่วนผสมนั้นมี O2 และ N2 เป็นองค์ประกอบหลัก โดยไม่จำกัดว่าจะมีส่วนผสมอย่างไร คำว่า Nitrox เพียงอย่างเดียวไม่ได้ระบุถึงสัดส่วนของก๊าซทั้งสองอย่าง ดังนั้นจึงต้องมีการระบุส่วนผสมของก๊าซทั้งสองอย่างลงไปโดยการเขียนเปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนต่อท้าย เช่น Nitrox 32 หรือ Nitrox 36 เป็นต้น

Enriched Air Nitrox (EAN) หมายถึงอากาศที่ถูกเติมออกซิเจนเข้าไป ดังนั้นส่วนผสมของ EAN จะต้องประกอบด้วยออกซิเจนมากกว่า 21% ในการดำน้ำเพื่อสันทนาการ EAN เป็นส่วนผสมที่มีออกซิเจนอยู่ระหว่าง 22 – 40% วิธีการบอกสัดส่วนก็ใช้วิธีการเขียนค่าออกซิเจนต่อท้ายเช่นเดียวกับ Nitrox เช่น EANx33, EANx40


ข้อจำกัดของ Nitrox
หลายท่านอาจจะพอจำได้ว่า Oxygen จะเป็นพิษที่ความลึก หรือ มี Partial Pressure ในระดับตั้งแต่ 1.4 ATA เป็นต้นไป ดังนั้นการเพิ่มความเข้มข้นของก๊าซชนิดนี้ก็จะทำให้ PPO2 มากขึ้นด้วย

หากนักดำน้ำใช้ EANx30 ค่า PPO2 ที่ระดับน้ำทะเลก็จะมีค่าเท่ากับ 0.30 ATA
และที่ความลึก 10 เมตร ค่า PPO2 ก็จะอยู่ที่ระดับ 0.60 ATA
และที่ความลึก 20 เมตร ค่า PPO2 ก็จะอยู่ที่ระดับ 0.90 ATA

*วิธีคิด
[(ความลึก/10) + 1] x PPO2 ที่ระดับน้ำทะเล

หากท่านไปคิดดูเล่นๆ ก็จะพบว่า การดำน้ำด้วย Nitrox แม้ว่าจะทำให้สามารถดำน้ำได้นานขึ้นแต่ก็ได้เพิ่มข้อจำกัดเรื่องความลึกให้มากขึ้นไปอีก

ไม่ไหวแล้วโว้ย แล้ววันหลังจะมาสอนวิธีการคำนวนต่อ

ขวัญผู้ยิ่งใหญ่อยากตอบแทนแฟนานุแฟนทุกท่านด้วยการมอบ CD แอนนา เอ้ย ภาพเจ๋งๆ ใต้น้ำให้กับผู้ร่วมสนุกที่ตอบคำถามได้คะเนนสูงสุด ขอเพีบงท่านตอบคำถามดังกล่าวแล้วเมลมาที่ bloodybrother@yahoo.com หมดเขตร่วมสนุกวันที่ 22 ม.ค. นี้

คำถาม.
1. เราสามารถเรียกอากาศธรรมดาว่า Nitrox หรือ EAN ได้หรือไม่ จงอธิบาย
2. เพราะเหตุใน Nitrogen จึงสะสมอยู่ในร่างกาย
3. ข้อได้เปรียบของการดำน้ำด้วย Nitrox/EAN คืออะไรเมื่อเทียบกับการดำน้ำด้วยอากาศปรกติ
4. ข้อด้อยของการดำน้ำด้วย Nitrox/EAN คืออะไร เมื่อเทียบกับการดำน้ำด้วยอากาศปรกติ
5. หากใช้อากาศปรกติ ก๊าซออกซิเจน อาจเป็นพิษที่ความลึกกี่เมตร (น้ำทะเล)