Popular Posts

Thursday, December 22, 2005

ก็มันไม่เห็นนี่หว่า!

วันที่ 29 พฤศจิกายน อาชัยเพื่อนร่วมทางคนสำคัญในครั้งนี้ของผมต้องกลับไปก่อนเนื่องด้วยภาระหน้าที่การงาน
ฟังดูกิ๊บเก๋ แต่แท้จริงแล้วคือ กลับไปคุมร้านเพราะคนงานลาไปเกี่ยวข้าว

ผมจึงปั่นต่อกับแก๊งที่เหลือ ที่เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน

วันนั้นพวกเราเดินทางจาก อ.หลังสวน ไปสู่ตัวเมืองชุมพร ซึ่งก็เป็นระยะทางเพียงร้อยกิโลเมตรเศษๆ แต่มันก็ดั้น....เสือกได้เรื่องฮาๆ มาให้เล่าอีกจนได้
.
.
.
หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จ ผมก็ค่อยๆ ยุรยาตรขึ้นรถอย่างช้าๆ และออกตัวเป็นคนสุดท้ายอีกตามเคย

(คนที่ไปด้วยกันก็คงจะเข้าใจดีว่า ผมแดกเยอะอย่างยิ่ง และแดกนานอย่างยิ่ง และอีกทั้งตอนนี้เริ่มเก๋า
เลยคิดไปเองว่า ไม่เป็นไรอัดแป๊ปเดียวแม่งก็ก็ตามทัน)
.
.

ผมเฆี่ยนไปสักพักก็เห็นพวกลุงๆ ที่ขี่อยู่รั้งท้าย
แต่แทนที่จะขี่แบบดูดตูดแบบกินแรงชาวบ้าน ก็เสือกกระแดะแซงขึ้นไปอีก
.
ถ้าเป็นวันปรกติผมคงควบจักรยานคู่กับอาชัย แต่วันนั้นแกไม่อยู่ผมต้องจึงอัดขึ้นไปคนเดียว
.
.
.

ผมขี่ผ่านแยกไปแดงไปสักพักก็ยังมองไม่เห็นกลุ่มนำ แต่ก็ยังไม่ได้สนใจอะไร เพราะเชื่อว่า
.
“ไอ้ห่าเอ๊ย ปั่นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวแม่งก็ทัน”
.
ผมขี่รถขึ้นลงเนินหลายลูกเป็นระยะทางหลายสิบกิโล แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของใคร.....ยังกับว่าโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ
.
.
.
แม่งเอ้ย! ...มันเป็นไปได้ยังไงวะเนี่ย
.
.
.
ดังนั้นผมจึงตัดสินใจใช้วิชาชิวหาพิฆาต

อันมหาบุรุษนั้นมีปากอยู่สองปาก
๑. ปากบนหนวดตรง
๒. ส่วนปากล่างหนวดไม่ค่อยจะตรงสักเท่าไหร่

ฉันใดก็ฉันนั้นมหาสตรีก็มีสองปากเช่นเดียวกัน แต่
๑. ปากบนแนวนอน
๒. ในขณะที่ปากล่างแนวตั้ง

.
.
.
แทบไม่ต้องคิด ผมเลือกใช้ปากบนของผมมาแก้สถานการณ์ ผมถามร้านค้าจำนวนไม่น้อยว่าเห็นแก๊งจักรยานผ่านไปบ้างหรือไม่
.
แต่ผมก็ไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ
.
ผมงงมากว่าพวกที่อยู่ข้างหน้าหายไปไหน และมันเป็นไปได้ยังไงที่ผมตามไม่ทัน
.
.
.
จะโทรไปหาใครก็ไม่ได้เพราะไม่มีโทรศัพท์กับกระเป๋าตังอยู่กะตัว
เพราะเช้าวันนั้น ท้องฟ้าดูไม่สดใส ผมเลยเอาของที่เปียกน้ำไม่ได้ ฝากไว้ที่รถตามขบวน
.
.

ผมจำใจขี่รถย้อนทางเก่าเพื่อกลับไปหาพวกลุงๆ ที่ผมแซงไปเมื่อครู่

ผ่านไปเนินแล้วเนินเล่า แต่ก็ไม่เห็นแม้เงาของใคร

“อ้าวฉิบหาย (อีกแล้ว) สิกู” ผมนึกในใจ
.
.
.
ผมเริ่มถามทางอีกครั้ง เมื่อย้อนกลับมาถึงแยกไปแดง

มอไซค์รับจ้างคือเป้าหมายแรก พวกเขาบอกว่าเห็นคณะของพวกเราผ่านไป แต่ไม่ได้สังเกตว่าเลี้ยวไปทางไหน
...................
.............
........
...
.............ถึงคำตอบจะยังไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ช่วยกำหนดขอบเขต
และทิศทางการหาได้บ้าง
.
.
.
ผมเลี้ยวเข้าไปทีละแยก เอาแม่งให้ตายกันไปข้างเลย..............ให้มันรู้กันไปว่ามันหายได้อย่างไร.
.
แยกแรกเลี้ยวซ้าย ดูมีลุ้น หรือพูดอย่างกระแดะๆ ว่า Possibility เป็นบวก แต่ก็แป๊ก
.
แยกที่สองเลี้ยวขวา ดูไม่น่าใช่ แต่ก็ต้องลอง แล้วก็แป๊ก (อีกแล้ว)
..
.....
..........
...............

อะไรๆ มันคงจะง่ายขึ้นเยอะถ้าผมดูกำหนดการตั้งแต่เมื่อเช้าว่า วันนี้จะไปพักที่ไหน
.
.
แต่ช่างมันเถอะ เพราะอย่างไรมันก็ทำให้ผมมีเรื่องมันส์ๆ...........................มาฝากแฟนานุแฟน

.
.
.
เมื่อทั้งซ้าย และขวาก็ไม่รอด
ผมก็ต้องจำใจย้อนกลับไปทางเมื่อครู่อีกครั้ง และถามทุกที่ที่มีคนอยู่
.
.
หลายคนบอกว่าไม่เห็นเพราะทำงานอยู่หลังร้าน แต่คนที่เห็นบอกว่าให้ตรงไป
.
.
ในที่สุดความหวังก็เริ่มทอประกายออกมา
.
.
ผมใช้พลังลูกควายที่เหลือ ปั่นไปเรื่อยๆ
เนินแล้วเนินเล่า ทุกซอยทุกแยก
แต่ก็ยังไม่เห็นเงาตูดใคร
.
ผมเริ่มถามทางกับคนขายของข้างทางอีกครั้ง แต่ไม่มีใครบอกว่าเห็น
เฮ่ยแม่งเป็นไปได้ยังไงวะ ร้านเมื่อกี้ยังบอกว่าเห็นอยู่เลย...............รับไม่ได้สุดๆ........
.......................
.............
........
...

น้ำในกระติกแห้งแล้วแต่ผมก็ยังหาใครไม่เจอ
ความเหวอเปลี่ยนเป็นความเครียด...............
.
.
.
ด้วยความเข้าใจว่าคงจะขี่รถเลยที่พักมาแล้ว
ผมจึงขี่ย้อนกลับไปที่สี่แยก (อีกแล้ว) พร้อมกับถามทางไปเรื่อยๆ
.
"ขอโทษนะครับเห็นคนขี่รถจักรยานแบบผมผ่านมาทางนี้บ้างไหมครับ"
.
"ก็เห็นแต่เธอหละ วนอยู่ 3 รอบแล้ว"
.
........ขอบคุณมากกกกเลยยยยย
.
.
.
.

ผมหยุดรถที่เนิน 491 แล้วข้ามถนนไปที่ป้อมตำรวจฝั่งตรงข้าม ที่เขียนป้ายว่า
.
“ยินดีรับใช้ 24 ชั่วโมง”
.
แต่ผมเคาะกระจกอยู่นานมากก็ยังไม่มีใครออกมา...... “ฉิบหายอีกแล้วกู” ผมนึกในใจ
ผมเดินออกมาอย่างถอดใจ แล้วในขณะนั้นเอง...............
................
.......
..
ตำรวจก็วิ่งออกมาจากห้องน้ำ ด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก
.
ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ตำรวจฟัง แล้วพูดในลักษณะว่าจะขอยืมใช้โทรศัพท์ที่ป้อมตำรวจ
ผมได้ตัง 4 บาทมาโทรศัพท์แทน และผมก็ทำหน้าบางขอกระดาษและดินสอมาด้วย
(ถ้ามีโอกาสจะเอารูปดินสอและกระดาษแผ่นนั้นมาลงบล็อกด้วย)
.
.
แต่มันก็หาได้ง่ายขนาดนั้นไม่
ผมต้องการโทรไปหาพี่ลิฟท์ ซึ่งเป็นคนขับรถตามขบวนว่าที่พักอยู่ที่ไหน.....แต่ผมไม่มีเบอร์แกอยู่กับตัว
.
ผมจะถามอาชัยซึ่งมีเบอร์พี่ลิฟท์ แต่ผมก็จำเบอร์โทรศัพท์แกไม่ได้.....ระยำจริงๆ
.
ผมจึงต้องโทรไปหาพี่ชายที่บ้าน เพื่อถามเบอร์อาชัย แล้วจะได้ขอเบอร์พี่ลิฟท์อีกที.....โอแม่เจ้ามันลำบากเหลือเกิน
ยิ่งโดยเฉพาะกับเงิน 4 บาท ที่มี
.
.
ผมกด 1234 ตามด้วยเบอร์พี่ชาย
สักพักก็มีเสียงตอบรับอัตโนมัติ "ยินดีต้อนรับเข้าสู่บริการรับฝากข้อความสำหรับผู้เดินทางไปต่างประเทศ"
ผมเหวอไปสักพัก.........!!!!!
.
และในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาว่า....."เย็ดแม่.....เอาอีกแล้ว...โทรผิด!!!"
เมื่อกี้ผมกดเบอร์ของเพื่อนตัวเองเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
.
.
เงิน 3 บาทสุดท้ายช่างมีค่าจริงๆ ในวินาทีนี้.
..
ผมโทรออกอีกครั้งอย่างระมัดระวังว่าจะไม่กดผิดเบอร์
.
..........
.
..........
.
..........
.
"ขอความช่วยเหลืออย่างฉุกเฉิน ฟังให้ดีนะ" ผมกล่าวทันทีที่พี่ชายรับสาย
ผมบอกให้พี่ชายโทรหาอาชัย แล้วฝากให้อาชัยโทรหาพี่ลิฟท์ แล้วขอเบอร์โทรศัพท์ของทั้งสองคน
และบอกตำแหน่งของผมที่เนิน 491
.
แต่......ผมพูดไม่ทัน.
ขนาดกด 1234 ก็ยังพูดไม่ทัน แม่เย็ดวันนี้กูซวยจริงๆ
.
.
ผมใช้เงินจนบาทสุดท้ายกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง แล้วนั่งรอด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก
.
เหนื่อย เครียด หิวน้ำ หงุดหงิด อนาถตัวเอง และอีกหลายๆ อย่าง
.
.
.
อีกไม่นานพี่ลิฟท์ก็ขับรถมารับ ผมไปที่พัก
นึกแล้วอนาถเหลือเกิน ที่ผมขี่รถผ่านมันมาแล้ว 3 รอบ โดยที่ไม่รู้
มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก
.
เพราะโรงแรมตั้งอยู่บนเนินฝั่งตรงข้ามกับถนนใหญ่
.
เมื่อกลุ่มแรกมาถึงพวกเขาก็ข้ามถนนไปในขณะที่ผมยังอยู่ที่ตีนเขาจึงมองไม่เห็น และขี่รถผ่านไปโดยที่ไม่รู้
ส่วนกลุ่มที่อยู่รั้งท้ายก็ทราบตำแหน่งจากป๋านรินทร์ เพระแกใช้วิทยุติดต่อกับกลุ่มนำ.
.
.
ผมซึ่งขี่ตรงกลางก็เลยเน่าอยู่คันเดียว..........
รถคันอื่นเข้าที่พักประมาณบ่าย 2 โมงส่วนผมก็ 4 โมงกว่า
ถ้าคิดไประยะทางผมก็คงแถมไปไม่น้อยกว่า 30 โล
.
เก่งจังเลยกู.
.
แน่นอนบทสนทนาระหว่างอาหารมื้อค่ำคืนนั้นคงจะเป็นเรื่องอื่นไปเสียมิได้
ผมก็ได้แต่ฮาไปด้วยเพราะก็อนาถตัวเองเหมือนกัน
.
.
ผมได้บทเรียนแปลกๆ อีกแล้ว แต่ก็เชื่อว่านั่นจะทำให้ผมเป็นนักจักรยานที่ดีได้ในวันหนึ่ง
.
.
ขี่ตามๆ กันไปเถอะ ถึงชัวร์

Thursday, December 08, 2005

ความผิดจองจำของพระ

ไม่ว่าจะเป็นสังคมไหนก็ย่อมจะต้องมีกฎระเบียบและข้อบังคับเพื่อให้สามารถปกครองคนหมู่มากได้

บทลงโทษย่อมมีเป็นของคู่กัน จะรุนแรงแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำ อันได้แก่ โทษประหาร จองจำ ปรับ และการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ เป็นต้น

การปกครองสงฆ์ก็เช่นเดียวกัน แต่เครื่องมือที่ใช้สำหรับการควบคุมนั้นเรียกว่า “พระวินัย”
ที่น่าสนใจยิ่งคือ บทลงโทษทางพระนั้นมีความคล้ายคลึงกับบทลงโทษแบบสากลอยู่ มากทีเดียว

ความผิดร้ายแรง : เรียกว่า ปาราชิก มีโทษประหาร

(จากความเป็นพระ) คือ จับสึก
ความรองลงมา : เรียกว่า สังฆาทิเสส มีโทษจองจำ
คือ การกักบริเวณ ซึ่งเรียกว่าอยู่กรรม
ความผิดไม่ร้ายแรง : จะต้องทำการปลงอาบัติ
คือการประจานตัวเองต่อหน้า
พระรูปอื่น จึงจะพ้นอาบัติ

ซึ่งโทษปาราชิกนั้นหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าเกิดจากความผิดร้ายแรง เช่น ฆ่าคน เสพเมถุน ฯลฯ
แต่คงมีเพียงไม่กี่คนที่พอจะทราบว่าโทษต้อง สังฆาทิเสส เกิดจากความผิดแบบใด

ดังนั้น จะขอยกบางตัวอย่างจากทั้งหมด ๑๓ ข้อมานำเสนอ
๑. ภิกษุแกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน ต้องสังฆาทิเสส
๒. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ จับต้องกายหญิง ต้องสังฆาทิเสส
๓. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดเกี้ยวหญิง ต้องสังฆาทิเสส
๔. ภิกษุมีความกำหนัดอยู่ พูดล่อให้หญิงบำเรอตนด้วยกาม ต้องสังฆาทิเสส

.

อาบัติในลักษณะนี้ถึงแม้จะไม่หนักเท่าปาราชิก

แต่ก็เป็นสิ่งที่ภิกษุพึงระวังเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหากต้องโทษแล้วจะต้องไปอยู่กรรมจึงจะพ้นความผิด

ซึ่งหมายความว่า ผู้กระทำผิด (ไม่ว่าจะมีตำแหน่งใดก็ตาม) จะถูกลดสถานะให้ต่ำลงกว่าพระทั่วไป คือไม่สามารถร่วมกิจกรรมกับพระได้

แต่ยังมีสถานะสูงกว่าเณร

และจะต้องไปอยู่ปฏิบัติธรรมในสถานที่ที่จัดไว้ เช่น ป่าช้าเป็นเวลาตามที่กำหนด
ซึ่งจะนานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่า ผู้นั้นรีบออกมาสารภาพผิดเร็วเพียงใด

เพระจะต้องใช้โทษตามวันที่ปกปิดให้สำเร็จก่อน
จึงจะสามารถใช้โทษตามความผิดที่กระทำ

*******************************************

พระพี่เลี้ยงจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ทันทีที่พระใหม่กลับมาถึงที่พัก
หากช้ากว่านั้นอาจเป็นเรื่อง
โบราณกล่าวว่าพระอรหันต์เท่านั้นที่มีศีลบริสุทธิ์
ดังนั้นพระจึงต้องปลงอาบัติทุกวันเพื่อเตือนสติตนเองอยู่เสมอ สำหรับความผิดที่ไม่ร้ายแรง


ส่วนอาบัติสังฆาทิเสสนั้น มีอยู่ไม่บ่อยนัก
แต่มักจะมาจากเหตุเดิมๆ คือ
พูดแฟนโทรมา หรือ โทรไปหาแฟน (กลัวหาย)

แน่นอน เพราะโทรศัพท์มือถือนั่นเอง
คนเรายังชีพได้ด้วยปัจจัย ๔
แต่ปัจจัยที่ ๕ นั้น บวชเป็นพระแล้ว ก็ยังตามรังควาญได้

*******************************************

Tuesday, December 06, 2005

Russian Divers 3

กลับมาครั้งพร้อมเรื่องราวอันสุขสุดแสนมันส์สำหรับท่านผู้อ่าน
แต่....สุดเสนรันทดสำหรับผู้เล่า
ขอย้อนความไปถึงวันแรกที่คณะนี้มาถึงทันทีที่ก้าวเท้าขึ้นเรือ
.
สิ่งแรกๆที่พวกนั้นทำก็คือการประกาศความเป็นรัสเซียน(โง่ๆ)
ให้ชาวโลกได้รับรู้ด้วยการนำธงชาติลายกากบาทน้ำเงินบนพื้นขาว
มาติดไว้ที่เสาท้ายเรือ
.
ไม่เข้าใจจริงๆเลยว่ามันมาเชียร์บอลหรือมาดำน้ำกันแน่วะ
.
และข้าพเจ้าก็ยังคงสงสัยต่อไออีกว่า......ตอนที่มันติดธงนั้น
พวกมันไม่ได้มองที่ด้านบนของเสาต้นนั้นเลยหรือว่า
มีธงชาติไทยแขวนอยู่
.
ข้าพเจ้ามิอาจรู้ว่าพวกเขามองเห็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นหรือไม่
แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าภาพที่คนจากเรือลำอื่นมองเห็นก็ คือเรือที่ติดธงชาติ 2 ประเทศ
.
โดยมีธงไตรรงค์ถูกเชิญไว้บนยอดเสาและก็อยู่บนธงชาติรัสเซียน
.
มันเป็นภาพธงชาติไทยที่มีสถาพเน่ากว่าผ้าขี้ริ้ว (ผมคงไม่บังอาจบอกความจริงที่ว่ามันรุ่งริ่งยิ่งกว่าผ้าเช็ดตีนเสียอีก)
ประกาศความเป็นเอกราชเหนืออดีตประเทศมหาอำนาจ ของโลกดูแล้วมันช่างสะใจจริงๆ
.
บางทีคนเรามันเรียกร้อง จะเอานู่นเอานี่เพื่อให้ตัวเองพอใจ
โดยหารู้ไม่ว่าคนอื่นจะมองอย่างไร
.
เวลาที่แม่งจะเปลี่ยนชุดดำน้ำ นึกอยากจะถอดแม่งก็ถอดซะตรงนั้น
ไม่รู้ว่าแม่งมั่นมาจากไหนมันชักจะหยามผู้ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว
เดี๋ยวก็อัดตูดเสียให้เข็ด
.
ข้าพเจ้าเพิ่งรู้ถึงความเก็บกดในการแดกอาหารสด ของคนในประเทศเมืองหนาว
ว่าถึงขั้นจิดวิปะเรี้ยวเมื่อไรก็ตามที่อาหารมาถึง เราก็จะได้เห็นฝูงแมลงวันตัวเท่าลูกช้างอ้วนๆ
รุมเข้ามาตอมอาหารบนเรือที่เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ (สะกดถูกป่าวไม่รู้)
พวกแม่งตักกันซะแบบว่าเผื่อลุง ป้า น้า อา ลูก หลาน เพื่อนลุง เพื่อนป้า.........
.
แล้วก็แดกกันไม่ถึงครึ่ง..........ไอ้หัวควยเอ้ย มันเก็บกดห่าไรมาวะ
เห็นแล้วเสียดายแดกเหลือ แดกหก แดกเรี่ยราด
.
คนเก็บแทบชักเอาเบคอนไปเช็ดตูด ยังดีกว่าเอามาให้พวกแม่งแดกเสียอีก
.
มีเพื่อนร่วมงานที่อยู่เรือลำนี้มา 10 ปีบอกว่า ตั้งแต่ทำงานมา
ไม่เคยเห็นแม่ครัวบ่นลูกค้าเรือเพิ่งจะมีก็คราวนี้แหละ
.
กลับมาเล่าเรื่องใต้น้ำต่อพอดำไปสักพักพวกห่านี่ก็เริ่มดำน้ำคล้ายๆมนุษย์มากขึ้น
ข้าพเจ้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า พวกนี้เพิ่งมาดำน้ำกันในทะเลคราวนี้เป็นครั้งแรก
.
.
ที่รัสเซียนั้น นักดำน้ำจะฝึกกันก่อนที่สระว่ายน้ำ แล้วมาสอบที่ทะเลสาบ (น้าจืด)
ในความลึกสุดประมาณ 5 เมตรซึ่งต่างกับชาวโลกอย่างลิบลับเช่น
ในประเทศไทยเราจะทำการฝึกกันในอ่างก่อน (อ่านรายละเอียดได้ในเรื่องช็อกๆ ที่เพลินจิต)
.
แล้วมาสอบปฏิบัติที่ทะเลที่ความลึกประมาณ 12 - 18 เมตรมันต่างกันเยอะ
ยิ่งโดยเฉพาะหากได้เรียนกับ GTK แล้ว นักเรียนจะเป็นนักดำน้ำที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกได้เลยโ
.
.
ว้ยขี้เกียจพิมพ์เรื่องพวกห่านี่แล้ว
...........นึกแล้วหลอน.....
.
.
ต่ออีกหน่อยก้ได้
.
.
หลายๆคนอาจสงสัยว่า ไอ้อุปกรณ์แพงๆมันหน้าตาเป็นไง
ก็นึกง่ายๆ ว่ามันเป็นชูชีพอย่างหนึ่ง ที่มีถุงลมอยู่ด้านหลัง
เวลาว่ายหน้าจะได้คว่ำและตัวก็จะลู่ไปกับน้ำแต่ที่ผิวน้ำหน้าก็คว่ำเหมือนกัน
.
เห็นแล้วทรมานแทนแต่นี่เป็นอุปกรณ์สำหรับใช้กับถังได้ไม่ต่ำกว่า 4 ลูก (ปรกติลูกเดียวก็หนักจะตายห่า)
ถุงลมเลยใหญ่มากยังกับกระด้งถ้ามีใครสักคนถือสาก ก็คงจะเหมือน.....
.
.
คิดว่าถึงพิมพ์สัก 10 ภาคก็คงจะไม่จบ
เลยเอาเป็นว่านักดำน้ำรัสเซียน
.อิ่มเป็นหลับ ขยับเป็นแดก แยกเป็นหลง งงไปซะทุกเรื่อง
.
.
.
ปล. ไว้มีอารมณ์ แล้วจะเล่าเรื่องตอนที่แม่งอยากแดกปลาละกัน

Russian Divers 2

ในที่สุดก็ได้ขึ้นฝั่งอีกครั้งรู้สึกว่าคราวก่อนคงเหนื่อยอยู่เลยเขียนไม่ค่อยรู้เรื่องงั้นคราวนี้จะพยายามเขียนให้เป็นภาษามนุษย์มากขึ้น……
.
และแล้วการดำน้ำไดว์แรกก็มาถึงขณะทำการประกอบอุปกรณ์
นักดำน้ำหลายคนยังมีอาการเมาค้างให้เห็นอยู่
ข้าพเจ้าอดแปลกใจไม่ได้ว่าคนกลุ่มนี้ใช้ตะกั่วมากผิดปรกติ
ข้าพเจ้าพยายามเตือนให้นักดำน้ำในกลุ่มทำการตรวจสอบอุปกรณ์ให้แน่ใจว่าอยู่ในสภาพพร้อมก่อนลงน้ำ
.
แต่ก็ไม่มีใครสนใจเท่าใดนักเพราะว่าสื่อสารกันไม่รู้เรื่องแล้วยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
ไม่มีใครที่สนใจที่จะฟังสักเท่าใหร่
.
โดยทั่วไปแล้วตะกั่ว 6 – 7 ก้อนก็น่าจะเพียงพอสำหรับคนรูปร่างปานกลางถึงใหญ่
(อัญชลี theOW ใช้แค่ 4 ก้อนก็จมจะตายห่าแล้ว)
.
แต่นักดำน้ำกลุ่มนี้ใช้ตะกั่วมากกว่า 10 ก้อน
แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ ตะกั่วมากขนาดนั้นหลายๆ คนยังจมไม่ลง
(ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ดีเก่า เลยจมไม่ลง
แต่เป็นเพราะแม่งมันดำน้ำกันหมาไม่แดกเป็นอย่างยิ่งไม่เข้าใจจริงๆว่า พวกแม่งจบมากันได้ยังไง)
.
แน่นอนว่าหากทำการลอยตัวให้เป็นลบไม่ได้ การลงสู่ความลึกย่อมมีปัญหา
ธรรมดาเมื่อปล่อยลมออกจากชูชีพ นักดำน้ำก็จะจมลงโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
.
แต่อาจไม่ใช่สำหรับคนกลุ่มนี้…………….
.
คนที่ดำน้ำคงจะทราบดีว่าเวลาลงสู่ความลึกนั้น
แค่เอาลมออกจากชูชีพก็จะจมลงอย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องทำอะไร
และการลงโดยปรกติจะคล้ายๆการลงลิพท์
คือขาลงก่อนแต่คนพวกนี้ทำอย่างไรก็ไม่จม
.
แทนที่จะเอาตะกั่วเพิ่มแล้วลงไปใหม่ หลายคนต้องลงน้ำอย่างตะเกียกตะกาย
ดูแล้วคล้ายกับฮิปโปขึ้นอืดตะกายน้ำ….แบบว่ามุดหน้าลงเอามือแหวกน้ำแล้วใช้ขาเตะให้ตัวจม…
.
โอจอร์จ ดูแล้วมันอนาถจริงๆแต่ก็ขอยอมรับว่าพวกมันดันทุรังจริงๆ ตะกายลงไปจนได้…………
.
จากนั้นเพียงชั่วอึดใจ ข้าพเจ้าเห็นวัตถุสีเงินบางอย่างพุ่งเฉียดหัวไปด้วยความเร็วสูง
.
ในวินาทีนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร
จึงเดาไปอาจไปว่ามันอาจเป็นปลาอินทรีย์ที่กำลังพุ่งไปล่าเหยื่อ
.
อีกชั่วอึดใจข้าพเจ้าก็ทราบคำตอบแล้วว่าวัตถุเมื่อครู่นั้นมันคืออะไร,
ลังจากที่วัตถุดังกล่าวได้พุ่งลงมาเฉียดกบาลข้าพเจ้าอีกครั้ง
คราวนี้มันมาเป็นฝูง…..
แต่มันหาใช่ฝูงปลาไม่
.
.
.
มันคือลูกตะกั่วบนบกลูกตะกั่วอาจส่งคนลงนรกได้ฉันใด
ใต้น้ำลูกตะกั่วก็สามารถส่งคนลงนรกได้ฉันนั้น
.
นักดำน้ำรัสเซียน (หลายคน) ทำตะกั่วหลุดที่ความลึกเกือบ 10เมตร
.
นักดำน้ำที่ไม่มีตะกั่วก็ไม่ต่างอะไรจากลูกโป่งที่ปล่อยขึ้นมาจากใต้น้ำ….
.
มัน พุ่ง ปรึ๊ด….ปรึ๊ด…..ปรึ๊ดราวกับอะไรสักอย่างที่ถูกกดดันมานาน
(กรูณาอย่าสงสับว่าทำไมหลายปรึ๊ด ไม่ใช่เพราะมันทำน้ำพุ่งหลายคน แต่คือ “มัน”พุ่งขึ้นมาหลายคน)
ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดีที่เมื่อขึ้นมาแล้วรู้ว่าพวกห่านี่พุ่งขึ้นมาแล้วไม่ตาย….
.
อุเหม่ มันน่าเจ็บใจเสียจริง
ความสงสัยของข้าพเจ้าที่ว่าตะกั่วมันหลุดออกมาได้อย่างไรก็กระจ่างขึ้น
เมื่อข้าพเจ้ารู้ว่าแทนทีจะใส่ตะกั่วที่ร้อยไว้กับเข็มขัด
คนเหล่านี้กลับเอาตะกั่วไปใส่ไว้ในชูชีพลม
.
มันคงจะไม่ผิดอะไรหากพวกเขาใส่ตะกั่วในช่องสำหรับตะกั่วที่มีไว้ในชูชีพลม
.
เขียนเพียงแค่นี้บางคนอาจเดาได้แล้วว่าคนที่พุ่งขึ้นมานั้นใส่ตะกั่วผิดช่อง
เสือกเอาตะกั่ว 10 กว่าก้อนไปใส่ไว้ที่ช่องเก็บดินสอ
.
….โอไม่นะ…
.
ถ้าพวกเขาลงน้ำแบบปรกติกระเป๋าเล็กที่มีปากกระเป๋าอยู่ด้านบน ก็อาจพอที่จะประคองตะกั่วได้บ้าง
แต่นี่แม่งเสือกเอาหัวลงก่อนตะกั่วแม่งก็ถึงได้ไหลออกจากกระเป๋า
นักดำน้ำซื้ออุปกรณ์ราคาเกินแสนแต่เสือกใช้กันไม่เป็น
.
ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับการใช้อุปกรณ์สำหรับการดำน้ำลึกในระดับเกิน 100 เมตร
.
มาใช้กับการดำน้ำในระดับความลึกที่ไม่เกิน 40 เมตร
..
.
……..ช่างเหมือนกับการเอายอดกระบี่มาหั่นผักเสียจริง…..
.
ข้าพเจ้าคงจะดีใจมากหากคนเหล่านั้นขึ้นเรือแล้วหยุดพักสักชั่วโมง
เพื่อทบทวนปัญหาแล้วค่อยกลับมาดำใหม่
.
แต่พวกเขาไม่เคยทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีเลยสักวินาทีเดียว
พอขึ้นมาบนเรือแทนที่จะหยุดพัก พวกแม่งยัดตะกั่วใส่กระเป๋า (ช่องเดิม)
แล้วก็กระโดดลงน้ำทันที
.
….แม่งบ้าไปแล้วอะข้าพเจ้าจำต้องเลยตามเลย แล้วก็มีวัตถุก้อนเดิมๆ พุ่งเฉียดกบาลอีกรอบ…….
ควยแม่งวันนี้มันเป็นวันห่าอะไรของกูวะ
.
ข้าพเจ้าไม่ขึ้นไปแล้วเพราะชื่อแน่ว่าถึงขึ้นไปก็ไม่รู้ว่าจะเอาตะกั่วที่ไหนมายัดให้ไอ้พวกนี้แล้ว เสือทำตกน้ำหมดข้าพเจ้าและพวกที่เหลือยังทำการดำน้ำต่อไปแต่ก็เป็นไดว์สั้นๆเพราะพวกห่านี่ไม่ค่อยอึด พูดเป็นทางการหน่อยก็คือใช้อากาศเปลืองนี่อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าชอบเกี่ยวกับนักดำน้ำกลุ่มนี้
.
(ต่อภาค 3)

Russian Divers 1

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้อง (ใครเรียกวะ) แต่ก็ช่างแหอะคราวนี้ขอบ่นหน่อยละกัน
อยากระบายใจจะขาด กลั้นจนเกือบจะแตกมาหลายทีเล้ว.....เฮ้อ คราวนี้จะได้สบายตัวซะทีกู
.
.
อาหละ Fore play มาชาติเศษแล้วขอเริ่มเลยละกัน
เมื่อวันก่อนหลังจากออกทะเลไป 4 วัน พอกลับมานอนที่บ้านอยู้ดีๆก็รู้สึกว่าบ้านแม่งหมุน.........
.
.
แบบว่าเดี้ยนไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนจริงๆฮะแต่อารมณ์แบบนี้คนที่ชอบรีบแดกเหล้าให้เมาคงชอบนะ ไม่ต้องเสียตัง..
ขนาด 4 วันยังขะตายห่าแล้วเที่ยวหน้า 8 วันมันจะขนาดไหน
.
(แต่ยังไงก็ไม่เท่าของเค้าหรอก..ใช่ไม้ตัวเอง)
และแล้วสัปดาห์นรกก็มาถึงก่อนออกเรือ
ไดว์มาสเตอร์อีกคนพอรู้ว่าลูกค้าเป็นพวกรัสเซีย
ก็ให้เอาตะกั่วเพิ่มไปเยอะๆ
.
แต่พอเห็นหน้าลูกค้าแล้วก็ไม่แปลกใจเพราะพวกนี้แม่งตัวใหญ่เหมือนหมีควาย
วันที่ไปขนกระเป๋าอยู่ดีๆเพื่อนแม่งก็ร้องจ้ากขึ้นมาแล้วก็ชึ้ไปที่ด้านหลังกองกระเป๋า
มองไปก็หลอนๆเหมือนกัน
.
เพราะนอกจากกระเป๋าใบเท่าลูกควายนั้นยังมีลังเบียร์ตั้งอยู่ 20 ลัง
แล้วก็เหล้าอีก 4 ลังเอนี่พวกมึงมาทำเหี้ยไรบนเรือกูกันแน่วะ
.
แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ..16 ใน 17 คนนั้นเป็นคนมีองค์ แล้วหนึ่งเดียวที่เหลือก็เสือกมีกระดุมคอ
.
แม่งเซ็งสาดแย่ไปกว่านั้นอีกคือพวกนี้หาเว้าอิงลิดได้ไม่
ขนาดล่ามยังพูดกันบ่อรู้เรื่อง
.
..
คืนหมาหอนคืนแรกเริ่มขึ้นเมื่อลูกค้าจับกูไปแดกเหล้า พร้อมกับอาหารถ่อยๆ
แน่หละวอดก้าเพราะพวกแม่งรัสเซียน ส่วนอาหารจานเด็ดนั้นก็คือเนื้อดิบ
.
มันเป็นเวรเป็นกรรมมาตั้งแต่ชาติปางไหนวะที่ข้าพระพุทธเจ้า
จะต้องมาเสวยพระกระยาหาร
กะไอ้พวกคนถ่อยแหล่านั้น
.
.
และแล้วฝันร้านเมื่อคืนวานก็ตามมาหลอกหลอน
.
.
ในรุ่งเช้าถัดมาพวกนี้ลงน้ำทั้งที่ยังเมาค้างอยู่
(แต่ยังดีนะที่ปลุกง่ายแล้วมันก็ไม่พูดว่ามึงฆ่ากูให้ตายดีกว่า)
.
ตอนที่ประกอบอุปกรณ์ก็เริ่มอึ้งเพราะพวกท่านใช้ของแบบแพงมากถึงมากที่สุด
เอาง่ายว่าคนหนึ่งคงไม่ต่ำกว่าแสน
หรือเอาเงินตีกระหรี่คลองหลอดได้ตราบจนชั่วลูกชั่วหลาน
(ต่อภาค 2)

ประสบการณ์เฉียดตายที่ความลึก ๒๖ เมตรคนเดียว (ภาค ๒)


ผมรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเพิ่งตื่นมาพร้อมกับอาการแฮงค์หนักๆ
เสียงไดว์คอมพิวเตอร์ที่ร้องดังขึ้นเรื่อยๆ บอกให้รู้ว่าผมได้หายใจเร็วกว่าระดับปรกติ

ผมจึงพยายามบังคับตัวเองให้หายใจช้าลงแต่นั่นมันยิ่งกลับทำให้ผมเข้าใกล้สภาวะหมดสติมาก ขึ้นไปอีก

ในวินาทีนั้นสิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดของผม คือจะทำอย่างไรให้ขึ้นมาสู่ผิวน้ำ



...........................แล้วไม่ตาย

แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ที่ความลึกในระดับนั้นกว่าจะขึ้นมาสู่ผิวน้ำได้อย่างปลอดภัย ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองนาที
มันดูไม่นานเลย แต่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนที่ใกล้จะสลบเหมือดอยู่เต็มที

สติสัมปชัญญะที่จำกัดทำให้ผมแทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้
ผมกำลังจะควบคุมตัวเองไม่ได้
ผมยอมรับตรงๆว่ากลัว

...................................................................................

ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นความคิดที่สำคัญยิ่งได้ผุดขึ้นมา
.
.
.
สิ่งที่สำคัญที่สุดของจอมยุทธ์ คือ การมีจิตใจที่ยิ่งใหญ่
ฉันใดก็ฉันนั้น หัวใจของการดำน้ำคือการควบคุมการลอยตัว
.
.
แล้วแม่งเกี่ยวกันตรงไหนวะ
แต่ก็ช่างแม่งเถอะ เอาเป็นว่ายังไงกูก็จะต้องหาทางขึ้นและโดยปรกติขั้นตอนในการขึ้นสู้ผิวน้ำคือ
ก. เอาลมออกจากชูชีพ เพื่อให้จมจะได้ไม่ลอยขึ้นมาเร็วเกินไป
ข. ว่ายขึ้นมาอย่างช้าๆด้วยความเร็วไม่เกิน 18 เมตรต่อนาที

ดังที่กล่าวไว้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองให้ว่ายขึ้นมาได้
ดังนั้นจึงต้องขึ้นมาด้วยการทำให้ร่างการมีการลอยตัวเป็นบวก หรือ พูดง่ายๆว่าทำให้ตัวแม่งลอยขึ้นมา

ภาพอุปกรณ์ควบคุมการลอยตัวราคาแพงระยับและเข็มขัดตะกั่ว ผุดขึ้นมาในความคิดของผม
ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่า อาจจะใช้อุปกรณ์สองชิ้นนั้นส่งตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ได้

.........................แล้วสิ่งที่ผมจะต้องตัดสินใจในวิธีนั้นคือ จะใช้อุปกรณ์ตัวไหนดี

เอาลมเข้าชูชีพ..............ก็ลอย

ปลดตะกั่วทิ้ง...............ก็ลอย


ด้วยความเก๋า ในวินาทีวิกฤตเยี่ยงนั้นมหาปรมาจารย์ขวัญจึงเดินลมปราณย้อนกลับแล้วจึงบรรลุวิชาด้วยความอัจฉริยะ
เอ้ยไม่ใช่ยังเสือกอุตส่าห์เสือกคิดออกว่า..

ถ้าปลดน้ำหนักทิ้งก็จะลอยขึ้น แต่จะไม่สามารถควบคุมความเร็วได้ ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ไม่ค่อยจะปลอดภัยเท่าไร..............

แล้วถ้าเสือกไม่ตายก็ต้องไปเสียตังซื้อน้ำหนักมาใหม่

ถ้าเติมลมเข้าชูชีพก็จะลอยขึ้น แต่ถ้าเร็วเกินไปก็ยังเอาลมออกเพื่อให้หยุดได้

ผมมีเวลาเลือกไม่มากเพราะใกล้จะร่วงอยู่เต็มที แน่นอนผมเลือกวิธีหลัง
ซึ่งผมก็ยังแปลกใจอยู่จนถึงวินาทีนี้ว่าตอนนั้นผมคิดออกได้ยังไง

บางทีคำกล่าวที่ว่าคนเลวๆแม่งตายยากอาจจะใช้ได้กับผม

ผมเริ่มเติมลมเข้าชุด แล้วปล่อยให้ตัวลอยขึ้นมา แต่ปัญหาคือการควบคุมความเร็วในการขึ้น....

กรุณาดูจากรูปที่ลงไว้ที่โฟโต จะเห็นว่าผมขึ้นมาค่อนข้างเร็วจนไดว์คอมพิวเตอร์ส่งสัญญาณเตือนออกมา
นอกจากมันจะเตือนให้ผมรู้ว่าผมได้ขึ้นมาเร็วกว่าอัตราปรกติแล้ว การส่งเสียงของมันยังช่วยปลุกให้ผมตื่นด้วย

ผมแทบไม่รู้สึกตัวในขณะที่ขึ้นสู้ผิวน้ำจนกระทั่งผมมาอยู่ที่ความลึกประมาณ 5 เมตร อาการมึนหายไป
ผมจึงหยุดอยู่ที่ความลึกนั้นเพื่อทำการปรับความดันและขับก๊าซไนโตรเจนออกไป จากนั้นจึงขึ้นสู้ผิวน้ำ

ไม่นานนักเรือก็มารับ เป็นครั้งแรกที่ผมคิดอย่างจริงจังว่าควรจะเลิกดำน้ำดีไหม

จากนั้นผมเตรียมระบบออกซิเจนฉุกเฉินทันที เพื่อทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับตัวเอง

(อากาศที่นักดำน้ำแบบสันทนาการใช้ คือ อากาศธรรมดาที่อยู่รอบตัว ประกอบด้วย ออกซิเจน และไนโตรเจน
ก๊าซแรกถูกใช้ไปกับกระบวนการเผาผลาญอาหาร ส่วนอีกชนิดเป็นก๊าซเฉื่อยจึงสะสมอยู่ในร่างกาย
ดังนั้นจึงต้องหายใจด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ เพื่อขับไนโตรเจนออกมา)

ผมนอนสูดอยู่สักพัก ลูกค้าบางคนก็เริ่มมาถามด้วยสีหน้าวิตกว่าเกิดอะไรขึ้น ผมตอบนิ่มๆว่า

แค่อยากทดสอบระบบว่าทำงานได้ดีแค่ไหน เพราะเราอยู่ไกลฝั่งต้องตรวจความพร้อมให้แน่ใจ.....

ผมเฝ้าดูอาการอีกสักพักจนแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็กลับไปทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมดำอีก 3 ไดว์ ที่ความลึกสูงสุด25 23 24 เมตร ตามลำดับแต่ก็ไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นอีก

จนกระทั่งวันต่อมาผมต้องไปดำที่หินหัวช้างซึ่งเป็นจุดดำน้ำที่ลึกที่สุดจุดหนึ่งหมู่เกาะในสิมิลัน

ผมลงไปเรื่อยๆจนเกือบถึงพื้นซึ่งตอนนั้นผมอยู่ที่ความลึก 33 เมตรแล้ว อาการเมื่อวานกลับมาอีกครั้ง
แต่คราวนี้ผมรู้แล้วว่ามันคืออาการควยไร

อาการที่น่าจะเป็นไปได้ คือ การเมาไนโตรเจน หรือ ออกซิเจนเป็นพิษ
แม้ว่าทั้งสองอาการจะเกิดขึ้นเมื่อนักดำน้ำลงสู่ความลึกมากๆ และจะหายไปเมื่อขึ้นสู้ผิวน้ำ
แต่ผมก็ให้น้ำหนักกับอาการแรกมากกว่า เพราะถ้าเป็นอาการหลังผมอาจจะไปเกิดใหม่ไปแล้วก็ได้

กลับเข้าเรื่องต่อ

ผมหันกลับไปหานักดำน้ำในกลุ่มพร้อมส่งสัญญาณให้ขึ้น พอขึ้นมาสัก 10 เมตร
อาการเมื่อครู่ก็หายไปเหมือนกับว่าไม่มีเคยอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ทำการดำน้ำต่อไป

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ควรลงน้ำที่ระดับความลึกประมาณ 30 เมตร
เพราะจะเกิดอาการเมาอากาศ ซึ่งก็เป็นปัญหาสำหรับการทำงานของผมอยู่ไม่น้อย
แต่อย่างไรก็ตามผมก็ได้บทเรียนไม่น้อยจากเหตุการณ์ในครั้งนี้

โดยเฉพาะการดำน้ำคนเดียวซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง

เพราะถ้าเมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นแล้วไม่มีใครสามารถช่วยเราได้
และนักดำน้ำนอกจากว่าจะต้องมีสตางค์ก็ต้องมีสติอยู่เสมอ
เพื่อจะได้สามารถควบคุมเหตุการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น และควรทบทวนความรู้อยู่เสมอ
จะได้สามารถตอบสนองกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม

ประสบการณ์เฉียดตายที่ความลึก ๒๖ เมตรคนเดียว (ภาค ๑)

วันนี้พอดีว่างงานเลยปั่นเสือตะลุยเขาหลักตั้งแต่เช้า.....แหมมันช่างแสบง่ามตูดเสียจริงนี่ก็เพิ่งจะได้พัก ก็ขอเล่าเรื่องที่ค้างไว้ก็แล้วกัน

อ้างถึงที่โพสท์ไปเมื่อชาติเศษ ว่าถ้ามีเวลาจะเขียนเรื่อง ประสบการณ์ เฉียดตายที่ความลึก 26เมตรคนเดียว และประสบการณ์เฉียดตายอีกครั้งกับการแก้ปัญหาอย่างเข้าใจ

หลังจากทริปนรก รัสเซียผ่านไป สองวันหลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ออกเรืออีกครั้ง
แต่คราวนี้ไปกับนักดำน้ำชาวมาเลเชียซึ่งต่างกับนักดำน้ำกลุ่มที่แล้วชนิด หน้ามือเป็นหลังตีนอะไรๆดูเหมือนจะดี แต่ก็มีเรื่องเสียวๆเกิดขึ้นอีกจนได้

วันนั้นข้าพเจ้าพาลูกค้า 4 คน ไปลงดำน้ำที่ Shark Fin Reef ซึ่งจัดว่าลึกพอสมควร
และมีน้ำเชี่ยวพวกเราดำอยู่ที่ความลึก 24 เมตร แล้วอีกสักพักจึงค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาสู่ผิวน้ำพอลงน้ำไปสักพักก็เจอปลาตัวหนึ่ง ไม่ใหญ่มาก แค่เล็กกว่าวัวนมนี้ด เดียว........

ชื่อไทยไม่รู้แต่รู้เพียงว่ามันมีนามกร กระเดียดไปทางฝรั่งเศษว่า Napoleon Fish (Bumphead Parrot Fish, หรือ แปลมั่วๆเอาเองว่า ปลานกแล้วหัวโหนก) อย่าว่าแต่ลูกค้าเลย ข้าน้อยเห็นแล้วก็แทบกรี๊ดสลบดำ

ไปสักพักน้ำแม่งก็เชี่ยวขึ้นเรื่อยๆ จะไปข้างหน้าแม่งก็ว่ายไม่ไหว เลยตัดสนใจว่ายอ้อมหิน ....หินนะไม่ใช่... ....เอ้า แล้วก็ว่ายอ้อมไปทีละคนๆ ยังไม่ทันจะครบ ก็มี Leopard Shark โผล่ขึ้นมาใกล้ ......ฉลามโผล่แต่คนไม่โผล่ รอไปสักพักทำไมลูกค้ากูมันว่ายอ้อมมาไม่ครบซักทีวะ...........เอมันชักรู้สึกแปลกๆ

ข้าพจึงบอกให้นักดำน้ำรอก่อนแล้วจึง ว่ายอ้อมไปหาคนที่ยังว่ายมาไม่ถึงเมื่อว่ายไปถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าพบ มีเพียงความว่างเปล่า.....อ้าวฉิบหายแล้วสิกู

ลูกค้ามีประกันชีวิตเปล่าวะ ประกันความเสี่ยงกูก็ไม่ได้ทำแล้วถ้าลูกค้าตายห่าไปใครจะจ่ายวะข้าพเจ้ามองขึ้นไปข้างบน เผื่อว่าลูกค้าอากาศใกล้หมดจึงลอยขึ้นไป.....แต่ก็ไม่เจอ (อากาศในถังเมื่อถูกใช้ไปเกือบหมด จะทำให้ความหนาแน่นของอากาศในถัง และน้ำหนักของถึงจะลดลง คล้ายๆกับลูกบอลยิ่งสูบลมมากก็ยิ่งหนัก และเมื่อไม่มีลมก็จะเบา)

ในวินาทีนั้นข้าพเจ้ายังพยายามมองโลกในแง่ดีว่า เขาอาจจะเจออะเจ๋งๆที่น้ำลึกก็ได้ ข้าพเจ้วจึงพยายามมองไปดูข้างล่างแต่ก็ไม่เจอ (อีกแล้ว)

อ้าวฉิบหายแล้วสิกูแล้วแบบนี้จะทำเหี้ยอะไรดี.....งิด..............................................................................................
เพื่อน โดนฉลามงาบไปยังวะหรือ โดนปลาวาฬกลืนเข้าไปแบบพินอดคิโอ
หรือ โดนไอ้ Napoleon ตัวมะกี้งาบไปแดกหรือ โดนนางเงือกลากไปฟัน

?????????????????????????
?????????????????????????
?????????????????????????

พันล้านคำถามผุดขึ้นมาในสมอง
แต่คนที่จะต้องตอบแม่งมีอยู่ตัวเดียว

คนเดียว

กะอีกหนึ่งองค์ (อันยิ่งใหญ่และเปี่ยมด้วยน้ำกรุณาธิคุณที่พร้อมจะแจกให้ได้ทุกเมื่อ)

โว้ย แล้วกูจะไปถามใคร ....ข้าพเจ้าตั้งสติ ว่ายกลับไปที่นักดำน้ำที่เหลือ
แล้วบอกพวกเขาให้คอย ไม่ว่าจะนานแค่ไหนพี่ก็จะมาขอ....
อ้าวนี่ก็ไม่ใช่และจากนั้นจึงขึ้นสู่ผิวน้าไปดูให้แน่ใจว่า ศพได้ขึ้นอืดมาแล้ว........

ปรากฏว่าข้าพเจ้าเดาไม่ผิดร่างของนักดำน้ำผู้นั้นได้ถูกเรือเก็บไปแล้ว.....แต่ถูกเก็บไปในสภาพปรกติ ครบ 32 ประการ
และสัณนิฐานว่า อวัยวะชิ้นสำคัญยังคงใช้งานได้ตามปรกติ
แม้ว่าอาจจะยังคงไม่สามารถปฏิบัติงานเป็นระยะเวลานานเท่าใดนักในยุทธจักรบู้ลิ้ม
หามีสิ่งใดเร็วกว่าการปล่อย (มีดสั้น ซึ่งก็น่าจะสั้นจริง) ของปรมาจารย์ ลี้คิมฮวง

แต่ความเร็วนั้นหาได้เทียบกับอาเฮียคนนี้ได้ไม่

ช่วงเวลาหนึ่งอึดแมลงหวี่ อาเฮียสามารถ ขึ้นจากความลึก 24 เมตร สู้ผิวน้ำแล้วก็ขึ้นไปบนเรือ.......
ทำได้ไงวะ

ที่อื่นอาจจะเป็นเรื่องแปลก แต่ไม่ใช่ที่สิมิลันเพราะที่นั่น ทันทีที่นักดำน้ำขึ้นสู่ผิวน้ำ
เรือจะวิ่งมาพร้อมกับหันตูดไปจ่อหน้าลูกค้าทันที......ไม่ต้องว่ายกลับเรือเลยสักนิด
ซึ่งจัดว่าเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ำเป็นอย่างมาก

แต่ถ้ามองในทางกลับกันถ้าเรือใหญ่ๆวิ่งเข้าหานักดำน้ำในระยะใกล้ขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นคนสับกลางทะเลได้
ไม่ได้สับด้วยมีด

แต่สับด้วยใบจักรกำลังไม่ต่ำกว่า 1000 ม้า

นี่คือเหตุผลว่าทำไมเรือ ดำน้ำระดับแพงๆ เช่น Anggun, Mermaid II, DiveMaster I จึงต้องลากเรือยางมาด้วยหลายลำ
เพราะเรือไม่สามารถวิ่งเข้าหาลูกค้า ในระยะใกล้ขนาดนั้นได้

(ควย พูดแล้วแม่งเสียดาย เมื่อต้นเดือนเรือ อังกูร โทรมาชวนไปทำ แต่พอดีเสือกรับงานทางนี้เอาไว้แล้ว แล้วเมื่อวานก็เสือกไปเจอเรือแม่งอีก ตอนกำลังวิ่งไปพม่า.........แม่งเอ้ย)

กลับมาเรื่องของเราต่อพอเห็นเฮียแกขึ้นเรือไปแล้ว จอมยุทธขวัญ(นามสมมุตร) ก็ต้องลงไปนำทัวร์กับนักดำน้ำที่เหลือต่อ........

ดูเหมือนอะไรจะลงตัวแต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด สายน่ำที่เชี่ยวอยู่แล้ว เริ่มเชี่ยวมากขึ้น มากขึ้น แล้วก็มากขึ้น จนข้าพเจ้ารู้สึกว่ายิ่งว่ายก็ยิ่งถอย

ข้าพเจ้ายังคงว่ายต่อไปจนถึงความลึก 26 เมตร แต่ก็ยังหานักอาหมวย อาเฮียที่เหลือ ไม่เจอ .....แม่งเอาอีกแล้วกูสักพัก..........

ข่าพเจ้ารู้สึกเริ่มเหนื่อย แต่การหายใจเริ่มถี่ขึ้น
ข้าพเข้าจึงควบคุมมันให้ช้าลง ในขณะที่กำลังว่ายสู้กับกระแสน้ำอยู่ จนกระทั่งข้างเจ้ารู้สึกมึนๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก.....................
และแล้วก็รู้สึกปวดกบาลมาก มากถึงมากที่สุด เหมือนถูกค้อนทุบหัว

มึนมากจนแทบหมดสติ

ความคิดที่จะว่ายไปหาลูกค้าไม่อยู่ในหัวข้าพเจ้าอีกต่อไปถ้าข้าพเจ้าหลับไปตอนนั้น เวลาข้าพเจ้าจะตื่นขึ้นมาก็คือตอนที่อากาศหมด
เชื่อว่าคงจะต้องสะดุ้งขึ้นมา แต่การขึ้นโดยที่ไม่มีอากาศจากความลึกขนาดนั้น แล้วกลับมามีอาการครบ 32 ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
คิดอยู่อย่างเดียวว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่หลับ แล้วกลับสู่ผิวน้ำโดยไม่ตาย

ต่อภาค ๒

เมื่อพระอยากจะเด็ดดอกไม้


วันหนึ่งพระอาจารย์ต้องการดอกบัวมาบูชาพระ แต่ยังติดอยู่ที่ว่ายังไม่มีใครนำมาถวาย
จริงๆ แล้วก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเพราะที่หลังกุฏิก็มีบึงเล็กๆ ที่มีดอกบัวบานอยู่

แค่เดินไปเด็ดก็น่าจะจบ

แต่ถ้ามันง่ายอย่างนั้นผมก็....ไม่มีเรื่องมาเขียนสิจ๊ะ

เพราะมีบาลีบัญญัติเอาไว้ว่า

“ภิกษุพรากของเขียวซึ่งเกิดอยู่กับที่ ให้หลุดจากที่ ต้องปาจิตตีย์”

เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธการ ภิกษุชาวเมืองอาฬวีทำการก่อสร้างจึงตัดต้นไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อื่นตัดบ้าง มนุษย์ทั้งหลายพากันติเตียนด้วยถือว่าต้นไม้มีชีวิตอินทรีย์อย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค (ทรงอนุโลมตามสมมุติของชาวโลก) จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ทำให้ต้นไม้ตาย
.
.
.
ดังนั้นแม้แต่การเด็ดใบไม้ก็ถือเป็นอาบัติ

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่ใช้ให้เด็กวัดไปทำ แต่ลองคิดดูให้ดี
ถ้าการฆ่าคนเป็นสิ่งผิด แล้วการจ้างคนอื่นไปทำแทน......มันก็แทบจะไม่ต่างอะไรกัน

ดังนั้นก็เลยต้องมีวิธีแบบพระๆ

ซึ่งก็คือ บอกเป็นนัยให้ญาติโยมไปพิจารณาเอาเองว่าสมควรจะไปทำอะไร
.
.
.
พระอาจารย์จึงบอกกับเด็กวัดว่า “เนี่ยเราไปพิจารณาดอกบัวที่บึงหลังกุฏิให้หลวงพี่ที่”
“ครับ พระอาจารย์” เด็กวัดตอบ

หายไปอยู่นานในที่สุดเด็กวัดจะกลับมามือเปล่า
พระอาจารย์เลยถามว่า “แล้วดอกบัวที่ให้ไปพิจารณาหละ เป็นไงบ้าง”

เด็กวัดตอบอย่างมั่นใจว่า “บาน 14 ดอก, หุบ 8 ดอก ส่วนที่อยู่ใต้น้ำไม่ได้นับครับ”

Thursday, December 01, 2005

ถึงแฟนานุแฟนที่เคารพ

ก่อนอื่นขอขอบคุณเพื่อนหมวยที่ช่วยประชาสัมพันธ์บล็อคอันดังสนิทนี้

คือว่าบล็อคอันนี้ไม่ได้นับจำนวนผู้ชมนะครับ ผมเลยไม่สามารถทราบได้เลยว่ามีคนมาเที่ยวในบล็อคกี่คน ดังนั้นจึงขอความกรุณาแฟนานุแฟนทั้งหลายให้ช่วยเขียนคอมเมนต์ สั้นๆ เช่น มันส์โคตร, หมาไม่แดก, สนุกจัง, เขียนเหี้ยไรวะ เป็นต้น หรือแต่ลงชื่อก็พอครับ

แต่ถ้าจะกรุณาเขียนคำวิจารณ์ก็ยินดีรับฟังครับ เพื่อประโยชน์ในการสร้างสรรค์งานมันส์ๆ แบบแปลกๆ มาเสนอผู้อ่าน

ผมเอารูปถ่ายจากการทำงาน และการท่องที่ยวลงเอาไว้ที่ myspaces ของผมนะครับ เนื่องจาก Blogger นี่ระบบไม่ค่อยดีถ้าเอารูปเยอะๆลงอาจเละได้ ถ้าเกิดเงี่ยนอยากจะดูก็ แอด MSN bigbrownbaby@hotmail.com ของผม แล้วเข้าที่เสปสครับ

จึ๋ยส์

ขวัญ ผู้ยิ่งใหญ่จนมิอาจนอนคว่ำ

Thursday, October 06, 2005

ในที่สุดก็เอารูปลงได้สำเร็จ

ดีใจจังทำสำเร็จแล้ว นี่ก็นับว่าเป็นอีกความพยายามที่สำเร็จ

เตรียมตัวโปรโมทบล็อดได้เลย