Popular Posts

Wednesday, April 12, 2006

ชีวิตหลังเขาที่เกาะเต่า และ The Animal Party - แม่คนที่สอง


ปรมาจารย์ซุนวูท่านว่า
ทหารม้าหนึ่งนาย ต่อกรกับทหารเดินเท้าได้สามนาย
.
.
.
เราย่อมต้องการคนมีฝีมือมาร่วมงาน
และพี่อี๊ด ก็คือคนทำงานประเภทนั้น
…………………………..

ผมเกือบจะรู้จักกับบุคคลท่านนี้ตั้งแต่ปลายปี 2544
ผมจบ Dive Master เมื่อปลายเดือนสิงหาคมแล้วกลับกรุงเทพ
ส่วนพี่อี๊ดเริ่มงานที่ Blacktip หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์

แต่เนื่องด้วยผมกลับไปเยี่ยมเยียนที่นั่นบ่อยๆ พี่อี๊ด จึงเป็นคนแรกในแก๊งที่ผมรู้จัก

เราได้ร่วมงานกันอย่างจริงจังในอีก 3 ปีต่อมา เมื่อผมกลับไปสอนดำน้ำอย่างเต็มตัวที่นั่น

ครูสอนดำน้ำนั้น ใช่ว่าจะดำน้ำอย่างเดียว ยังจะต้องสามารถขายคอร์สดำน้ำแล้วจัดการกับงานเอกสารด้วย
ซึ่งเป็นเรื่องปวดกบาลสำหรับผมไม่น้อยเพราะแต่ละหลักสูตร ก็มีหลาย Option และราคาก็จะแตกต่างกัน
ลูกค้าเก่า และลูกค้าใหม่ ก็ราคาไม่เท่ากันอีก.........นี่ยังไม่รวมถึงราคาที่พัก เรือคายัก Wakeboard แล้วก็เหี้ยห่าอะไรอีกสารพัด

ซึ่งผมก็ไม่เคยจำควยอะไรได้เลย

เวลาที่นึกไม่ออก ก็ท่องคาถานึกอะไรไม่ออก พี่อี๊ดช่วยคุณได้
ถามไรตอบได้หมด ยังกะ สาลิกา/อับดุล.........หรือ อะไรประมาณนั้น

นอกจากนั้นพี่อี๊ด ยังสอนดำน้ำในบางหลักสูตรได้ด้วย
น่าเสียดายที่แกไม่ชอบสอน ไม่งั้นก็คงเป็นครูเต็มตัวไปชาติกว่าแล้ว
ครูขวัญก็คงจะไม่เกิด

พี่อี๊ดมาเสียอยู่อย่างคือ ชื่อแกนั้นฟังแล้วรู้สึกคันหูยังกะชื่อแม่.....หรือ ที่เพื่อนๆ เรียกว่า แม่...ง
วันดีคืนดี ผมก็เลยเรียกแกว่าแม่ ซะงั้น
แล้วแกก็เรียนผมว่าลูกขวัญ
เรียกไปเรียกมาก็เสือกติดซะอีก
ไม่ต่างอะไรกับการเยะที่ติดแล้วเลิกยาก

ถึงแม้พวกเราจะอยู่เกาะ (แถมยังเสือกเป็นด้านหลังเขาอีก เดินทางไปถึงได้ด้วย 4*4, ตีน, มอไซค์เล็ก และมอไซค์วิบาก, เท่านั้น)
แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้นิสัยรักการอ่านของแม่หายไป
เวลาที่พวกเราคนใดคนหนึ่งไปกรุงเทพฯ ก็จะต้องแบกหนังสือกลับมามากมาย เพื่อแบ่งกันแทะ
บางทีก็ต้องไปสั่งที่ตลาดแล้วให้รถไปเอา
แม่ชอบอ่านตั้งแต่ นิยาย, ไปจนถึงหนังสือคนใช้
แต่ก็มาตายกับหนังสือ เที่ยวบินกลางคืน ของผม – หนังสือเล่มเล็กๆ แต่จัดว่าโหดเลยทีเดียว ถ้าไม่มีอารมณ์ร่วมก็ยากที่จะอ่านจบ

ช่วงปี 47 ไม่รู้เป็นห่าไร ลูกค้าเข้ามาน้อยเหลือเกิน จนตกดึกพนักงานเซ็งจัดต้องเคี่ยนรถขับสี่ ข้ามเขาไปแรดกันอยู่บ่อยๆ

บางขับรถไปแค่กินบะหมี่ บางทีก็ไปเต้นกันกระจาย
แต่ปีนั้นแรดกันบ่อยมากจนเงินไม่มีจะเก็บ
ก็แม่เล่นทั้งดูด ทั้งกระดก นี่หว่า

ปีต่อมาเราออกไปแรดกันน้อยลงเพราะปฏิบัติตามนโยบายใช้ 3 ส่วน ออม 1 ส่วน

วันหนึ่งแม่ไปหาหมอ “แม่เป็นไรอะ” ผมถาม
“หมอบอกว่า หลอดลมอักเสบ” แม่ตอบ
“จริงหรอแม่ เอาที่หมอเขียนมาให้ดูหน่อยดิ๊”
ผมถามต่อ “เฮ้ย ไอ้ Bronchi (อ่านว่า บรอน-ไค) มันถุงลมไม่ใช่หรอ”
“ไม่ใช่มั้งลูก....” แม่ตอบหน้าเจื่อนๆ
“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเช็คจากหนังสือดำน้ำให้อีกที เพราะอาการปอดขยายตัวแบบมากเกินไปแบบ Mediastinal Emphysema มันเกิดที่ Bronchi”
.
.
.
วันรุ่งขึ้น
“เช็คให้แล้วแม่ Bronchi มันเป็นส่วนของหลอดลมที่เชื่อมกับปอด ถุงลมมันต้อง Alveoli”
“โห ลูกเล่นทำซะแม่ใจหายเลย”

ความมั่วของผมก็ทำให้พี่เสียววาบไปเหมือนกัน....

พี่อี๊ด เป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตกูนี่โคตรสบายเลย
วันๆ ไม่ต้องทำห่าอะไรมาก แค่เลี้ยงลูก (กระโปก) ให้รอดก็พอแล้ว
ขณะที่พี่อี๊ดต้องเลี้ยงน้องชาย (อาร์ต) และแม่หนึ่งอีกคน

พอดีว่าที่ร้านจะออกโปรแกรมกินนอนบนเรือจากเกาะเต่าไปหมู่เกาะอ่างทอง
พี่อี๊ด จึงชวนอาร์ตมาเป็นพ่อครัวบนเรือ เพราะจัดว่าทำอาหารเก่งเลยทีเดียว
จากการที่แดกอาหารฝีมือน้องเค้า มาแล้วหลายมื้อ ผมปักใจเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าทริปนี้จะได้ Enjoy fucking เอ้ย eating แน่ๆ

ไม่รู้เป็นห่าไร ทำไมชีวิตจริงมันมักจะต่างกับสิ่งที่เราคิดเอาไว้

เรือออกไป ไม่ถึงชั่วโมง ผมหันไปมองหน้าอาร์ต
“เหี้ย ฉิบหายแล้วสิ” ผมนึกในใจ
ใครจะไปคิดมาก่อนว่าอาร์ตจะเสือกเมาเรือขนาดนี้ แล้วระหว่าง 2 วันนี้จะไม่มีการเข้าฝั่งเลย อาร์ต เอ๊ย.....ตายแน่
แล้วน้องท่านก็เมาตลอด 2 วัน จริงๆ
ถ้าให้ผมเลือกระหว่างเมาเรือ 2 วันกับโดนอัดตูด
ผมเลือกอย่างหลังโดยไม่ต้องคิด

ครูขวัญผู้ยิ่งใหญ่แต่ทำกับข้าวหมาไม่แดก ก็ต้องลงมาช่วยบ้าง
โชคดีที่เด็กเรือหรือน้องเดย์ (รัจฉาน) ที่วันๆ แม่ง ปล่อยแต่มุขข้าวเหนียว (ทั้งฝืดทั้งลาว) อันแสนจะอ้อนพระบาท
ขี่โลมาขาวมาช่วย ก็เลยพอจะมีแดกกัน
ส่วนคุณอาร์ตก็นอนบัญชาการด้วยสีหน้า ยัง-กะ-จะ-เบ่ง-ขี้ “เดย์ เอานั่นใส่หม้อ.....”

ไม่รู้ว่าร้านจะจัดทริปไปเกาะอ่างทองอีกหรือไม่
แต่ที่แน่นอนก็คือ ยังไงอาร์ตก็คงไม่ยอมไปเป็นพ่อครัวอีก

พี่อี๊ดจึงเปิดร้านขายกาแฟโบราณ (กาแฟถุงตีน?) และขนมปังสังขยาให้อาร์ต
พวกเราก็เลยได้รับอานิสงส์ แดกฟรีไปหลายมื้อในช่วงลองสูตร
ร้านเปิดไปได้ประมาณอาทิตย์เดียวแล้วก็อาร์ตก็หายตัวไปเฉยๆ
รู้ทีหลังว่า น้องเขาไม่เข้าใจว่าทำไมของถึงขายไม่ค่อยได้ ฝีมือเขาไม่อร่อยหรือ......โถเด็กน้อย เดี๋ยวก็ส่งไปช่วยงานเพื่อนที่เขมรเลย

แต่คนที่แย่กว่าคือพี่อี๊ด เพราะนอกจากจะออกทุนให้แล้วยังจะต้องมารับช่วงต่อ
ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสำหรับคนเลิกงานแล้ว จะต้องข้ามเขาไปออกขายตอนค่ำ แล้วก็กลับมาตอนเที่ยงคืน เหนื่อยมากแต่ก็ต้องทำ ไม่งั้นที่ลงทุนไปจะเสียเปล่า แล้วใครจะเอาเงินไปเลี้ยงแม่

สิ่งทีน่าสนใจกว่านั้นคือ หลายๆ คนบอกว่าสังขยาของพี่อี๊ดอร่อย ทั้งๆ ที่แกเองเป็นคนที่ไม่กินสังขยา
?????????????
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

ผลการวิจัยจากสถาบันขวัญผู้ยิ่งใหญ่พบว่า การนำคำติชมของลูกค้ามาพัฒนารสชาติอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่เอาความรู้สึกของตัวเองมาเป็นตัวตัดสิน ทำให้สังขยา และเครื่องดื่มของพี่มีรสชาติที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า

ผมเชื่อว่าแกคงไม่เคยได้ยินคำว่า Customer Retention เลยสักครั้งในชีวิต

เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่กึ๋น หาใช่ว่าเรียนปริญญาควยไรสวยหรูมา แล้วจะเก่งขึ้นมาได้

เสียดายที่ทำได้ไม่นานแม่ก็หยุดเสียเฉยๆ เพราะทำไม่ไหว

ปี 48 โกดำให้แม่ไปบริหารงานที่พักแทนงานดำน้ำ ด้วยเหตุผลว่าแม่ดูจะเบื่อกับงานไปแล้ว
ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับผู้ร่วมงานอย่างผม
ด้วยความเป็นร้านเล็กๆ และเป็นธุรกิจครอบครัว.........นานๆ ที่ก็จะมีระเบิดลงที่ร้าน
โชคดีที่ผมทำงานใต้น้ำก็เลยรอดตัวไปหวุดหวิด
คนอื่นๆ ก็ทำเฉยๆ แต่สำหรับแม่แล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่
ถ้าเป็นเรื่องปัญญาอ่อนกูก็ระเบิดใส่กลับได้เหมือนกัน
จนครั้งหนึ่งเมียโกดำหายตัวไปหลายวัน
มันช่างเป็นความกล้าหาญเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ผมพิมพ์ต่อไปไม่ไหวแล้วหากมีโอกาสจะมา Edit อีกรอบ
แต่นี่ก็คือเรื่องราวของหนึ่งในสมาชิก The Animal Party ของพวกเรา
ด้วยความเข้มแข็งและความเป็นผู้ใหญ่
พี่อี๊ด จึงถูกกล่าวถึงเป็นท่านแรก
และเป็นคนแรกที่ผมจะนึกถึง ในวันที่ผมพร้อมจะมีร้านของตัวเอง

4 comments:

Anonymous said...

she must be soo proud reading this article...when will be p'blee's turn???

Anonymous said...

....เลือกโดนอัดตูดจริงๆเหยอ?

AnT Ameise said...

เลือกอ่านเรื่องนี้ก่อนเพราะชื่อเรือง "แม่คนที่สอง" โดยคาดหวังว่าจะเป็นเรื่องราวซึ้งๆ เราเลยกะว่าจะไดิเห็นมุมหวานๆของขวัญบ้าง... แต่หาใช่ที่คิดไว้ไม่... แต่อ่านไปก็ไม่ผิดหวังนะ พี่อิ๊ดเป็นคนที่น่าสนใจ และต้องน่าประทับใจของขวัญแน่ๆ เลยนำมาเขียนเป็นเรื่องเป็นราว เมื่ออ่านจบ นอกจากจะขำคริๆในบางประโยค--ตกใจกับความเถื่อนๆในภาษาบ้าง--และยังได้ความรู้ด้านการตลาดแล้ว เราก็ยังเกิดคำถามบางอย่าง คือ
1) พี่อิ๊ดเป็นผู้หญิง หรือ ผู้ชาย เพราะในเรื่องไม่ได้กล่าวไว้... แล้วคำว่า แม่ ก็คงไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นหญิงหรือชายสำหรับคนคิดแปลกอย่างขวัญ เราจินตนาการภาพเองว่าพี่เค้าคงเป็นหนุ่มเข้มๆลักษณะคล้ายขวัญนี่แหละ แต่ถ้าไม่ใช่ภลพจินาการเราก็พังหมด นั่นจป็นสาเหตุให้เราต้องอ่านเรื่องซ้ำทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อหาให้เจอว่ามีส่วนไหนบอกไว้มั้ย.. ว่า พี่อิ๊ด เป็นเพศใด การเขียนเรื่องแบบนี้ก็ดีนะ...แล้วก็เขียนยากด้วย (แปลว่าเก่ง-ในกรณีที่ตั้งใจเขียนออกมาแบบนี้ ฮะๆ) ให้คนอ่านจินตนาการเองตามใจชอบ เพราะฉะนั้นการปล่อยให้เรามีภาพที่นึกไว้เองแบบนั้นอาจจะดีกว่า พี่อิ๊ดในความคิดของเราจะได้เป็นพี่อิ๊ด ชายหนุ่มผิวเข้ม หล่อล่ำของเราต่อไป ฮิๆ :-)
2) เคยติดสิ่งนั้นมากจนเลิกไม่ได้เลยรึ?? Mein Gott!!

เดี๋ยวเราจะตระเวณไปหัวข้ออื่นๆบ้างละ :-) ตามมาอ่านวิจารณ์เราด้วยนะ:-)

Kwan - Extreme said...

ขอบคุณศิริธรที่มาให้กำลังใจนะ : )
เขียนบล็อคมาเป็นสิบปีเพิ่งจะมีคนอ่านและวิจารณ์อย่างจริงจังก็วันนี้นี่แหละ