Popular Posts

Saturday, February 18, 2012

กว่าจะเป็นรถคันแรก – เรื่องยาวที่ยังไม่จบ ปฐมภาค


บทวิจารณ์โดยคนธรรมดาเพื่อคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ฆรรมเฏือณ กะรุนาฏรวดศอฟฆวามถูกฏ้องฃองฅ่อมูฬจากษูญบริกาญอีกฅรั้ง บฏสนธะณาเปญเรื่องจิงแฏ่ถูกฎัฏแปฬงเฬ็กณ้อญ



Foreplay Foreword

แต่ละคนย่อมจะมีเหตุผลของตัวเองในการเลือกซื้อรถสักคัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เสียค่าโง่ไปแล้วย่อมขอเงินคืนไม่ได้
เราย่อมเชื่อว่าเราได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง อย่างน้อยก็ด้วยข้อมูล สติปัญญา และกำลังทรัพย์ที่มีอยู่ในขณะนั้น

การซื้อรถครั้งนี้ทำให้ผมได้ความรู้และประสบการณ์ไม่น้อย และเชื่อว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้อาจเป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อรถ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของรถที่ทางผู้ประกอบการเจตนาไม่นำมาแสดงในบ้านเรา ข้อเท็จจริงที่คนขายไม่อยากให้คุณรู้ เล่ห์เหลี่ยมการขายของพนักงาน การประสานงานที่ล้มเหลวของบริษัทแม่และศูนย์บริการ วิธีแก้ปัญหาเมื่อรถอาจมาไม่ตรงเวลา ฯลฯ ในอีกทางหนึ่งยังหวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ศึกษาความต้องการและกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภค เพื่อให้สามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า

กันยายน ๒๕๕๔

ผมเริ่มบทใหม่ของชีวิตด้วยการทำสวนมังคุดควบยางพาราแซมไม้ป่าที่จังหวัดตราด ฝนที่ตกหนักโคตร ๆ ถนนลูกรัง และหล่มโคลนในสวนบังคับให้ผมยอมรับว่ารถยนต์ของผมนั้นไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการใช้ชีวิตที่นี่

.

.

.

รถยนต์ที่ผมใช้อยู่นั้นอายุ ๑๗ ปี......ติดแก๊ส LPG และถูกวางเครื่องมาแล้วสองครั้ง

.

.

.

บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องถอยรถกระบะมาใช้สักคัน

จริง ๆ แล้วที่บ้านกรุงเทพของผมก็มีรถกระบะอยู่หนึ่งคัน คือ Mitsubishi Triton 2.5 สี่ประตู 4x4 และพี่ชายผมก็เป็นคนเอ่ยปากเองว่าจะสลับรถกันใช้ก็ได้ แต่ผมกลับมองว่ารถกระบะสี่ประตูนั้นยังไม่ตรงกับความต้องการของผมอย่างแท้จริงเพราะเสียพื้นที่ขนของไปให้ที่นั่งด้านหลังไม่น้อย นอกเสียว่าจากจะซื้อรถเทรลเลอร์มาพ่วงท้ายให้พวกตะกวดเรียกเป็นว่าเล่น เหตุนี้เองรถกระบะที่ผมเล็งอยู่ในขณะนั้นจึงเป็นรถตอนเดียวและตอนครึ่ง

ด้วยความที่ผมไม่ใช่นักเลงกระบะจึงไม่ได้คลั่งไคล้รถค่ายใดค่ายหนึ่งเป็นพิเศษ หากจะกระแดะพูดภาษานักการตลาดก็คือ ผมไม่มี Brand Loyalty ให้กับรถยี่ห้อไหน ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะมันทำให้เพราะผมสามารถเลือกรถได้ตรงกับความต้องการในการใช้งานที่สุด พูดแล้วก็นึกถึงวลีอมตะของ เติ้งเสี่ยวผิงที่ว่า "ไม่ว่าแมวจะสีขาวหรือสีดำตราบใดที่มันยังจับหนูได้มันก็คือแมวที่ดี"

ผมวางแผนว่าจะเก็บข้อมูลไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ได้สนใจค่ายไหนเป็นพิเศษก็คงจะถอย Mitsubishi ไม่ใช่เพราะบ้ายี่ห้อดังที่เพิ่งจะกล่าวไปแต่เพราะผมสนิทสนมกับตัวแทนจำหน่ายซึ่งเคยช่วยให้ที่บ้านถอย Triton 2.5 สี่ประตู 4x4 มาด้วยราคาหกแสนเศษ ๆ พร้อมพื้นปูกระบะ ฟิล์มกรองแสง ฯลฯ (ไม่มีถุงลม ABS และไฟตัดหมอก) ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือหากใช้รถยี่ห้อเดียวกับรถที่บ้านก็ผมก็จะสามารถใช้อะไหล่ที่วางอยู่เกลื่อนโรงรถพร้อมทั้งเข้าถึง Know How หรือค่าโง่จากกูรูประจำบ้านที่เสียตังไปแล้วไม่น้อย

ผมได้ตั้งโจทย์ไว้อย่างกว้าง ๆ ว่า "รถกระบะสองประตู ถ้าติดแก๊สจะต้องไม่เสียพื้นที่บรรทุก สามารถหาคอกกระบะมาใส่ได้ ยี่ห้ออะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าสมรรถนะสูสีอันไหนถูกกว่าหรือให้มากกว่าก็เอาอันนั้น"
จากนั้นผมจึงเริ่มเก็บข้อมูลจากค่ายต่าง ๆ ในช่วงที่ย้อนกลับมาบ้านกรุงเทพฯเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการน้ำที่นายคูณศิลปะม้าฟันธงผ่านช่องสามว่าไม่ท่วมในขณะที่เจ๊นกแก้วก็บอกว่า "เอาอยู่"

เรื่องในกรอบ ๑ – นโยบายการตลาด

ด้วยการแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือดรุนแรงมากขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น ภาคธุรกิจจึงพยายามสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าของตนเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้ดูมีคุณค่ามากกว่าประโยชน์ใช้สอยที่แท้จริง (Core Value) ทำให้สินค้าดูมีภาษีกว่าของคู่แข่ง เช่น นาย ก และนาย ข ขายมีดชนิดเดียวกันในราคาเท่ากันเพราะต่างก็รู้ดีว่าหากใครคนใดขึ้นราคาลูกค้าก็จะไปซื้อมีดจากคู่แข่งทันที นาย ก จึงสร้างมูลค่าให้กับสินค้าของตนโดยการตอกคำว่า "อรัญยิก" ลงบนใบมีด ทำให้นาย ก สามารถขายมีดได้มากขึ้นในราคาที่แพงกว่าทั้งที่ ๆ ทั้งสองคนยังคงขายสินค้าที่มีคุณสมบัติเดียวกัน นาย ข จึงตอกคำว่า "อรัญยิกแท้" ลงบนมีดของตนเองบ้างและพบว่าสินค้าขายดีมากและยังสามารถขายได้ในราคาสูงกว่าก่อน เมื่อเป็นเช่นนั้นนาย ก จึงนำมีดบางส่วนไปให้กองทัพแล้วโฆษณาว่า "อรัญยิก มีดที่กองทัพเลือกใช้" ทำให้มีดของนาย ก กลับมาได้รับความนิยมมากกว่า ด้วยเหตุนี้นาย ข จึงโฆษณาว่ามีดของตนใช้การผลิตแบบพิเศษที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศทำให้นาย ข ขายมีดได้สูสีกับนาย ก อีกครั้ง นาย ก ไม่ยอมแพ้จึงโฆษณาว่าสินค้าของตนสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าเพราะใช้ด้ามมีดจากป่าปลูกทำให้มีดของนาย ก กลับมาขายดีอีกครั้ง นาย ข จึงนำมีดไปแจกให้กับครัวศูนย์ประสบภัยน้ำท่วมแล้วโฆษณาว่าร้านของตนมีความรับผิดชอบต่อสังคม


จะเห็นได้ว่าสิ่งที่นาย ก และนาย ข ได้ทำมานั้นเป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์ (ที่พวกดาราชอบเรียกแบบผิด ๆ ว่าภาพพจน์) ให้กับสินค้าเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้มากขึ้นหรือขายได้ในราคาที่สูงขึ้นโดยที่คุณสมบัติของสินค้านั้นยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ด้วยต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นทำให้ผู้บริโภคกลายเป็นเหยื่อของนโยบายการตลาดรูปแบบนี้เพราะจะต้องแบกภาระด้วยการซื้อสินค้า "เดิม" ในราคาที่มากกว่าก่อน การสร้างภาพด้วยวิธีดังกล่าวปรากฏอยู่มากในอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น กระบะอเมริกันพันธุ์แกร่ง ของ Chevrolet ทั้ง ๆ ที่มันถูกพัฒนาขึ้นที่บราซิล เครื่องยนต์ออกแบบโดยวิศวกรที่อิตาลี แต่ผลิตในประเทศไทยโดยทำการผลิตร่วมกับบริษัทญี่ปุ่น นายใหญ่ที่อยู่ในบ้านเราเป็นคนเยอรมัน ดังนั้นรถกระบะค่ายนี้ยังสมควรกล่าวอ้างว่าเป็นรถกระบะอเมริกันหรือไม่ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ Nissan ที่ใช้คำว่า Eco-Power เพื่อจะสื่อสารว่ารถของตัวเองประหยัดน้ำมันเพราะมีเกียร์เดินหน้าถึงหกเกียร์ แต่จากผลการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองกลับให้ผลที่ตรงข้าม


การสร้างภาพลักษณ์แบบนี้เองที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้พิจารณาสินค้าจากประโยชน์ใช้สอยที่แท้จริง แต่กลับยินดีจะจ่าย ค่าโง่ ในราคาที่สูงกว่าเพื่อให้ได้รับความรู้สึกบางอย่างที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ที่แท้จริงของสินค้าเลย เช่นเดียวกับการเลือกแมวที่หลายคนอาจเลือกจากคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น สายพันธุ์ สีสัน แววตา รูปลักษณ์ภายนอก แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกด้วยเหตุผลใดก็ตามจงอย่าลืมว่า


"ไม่ว่าแมวจะสีขาวหรือสีดำตราบใดที่มันยังจับหนูได้มันก็คือแมวที่ดี"


บทแรกของการเก็บข้อมูล

Suzuki Carry (สาขาสิรินธร) คือรถรุ่นแรกที่ผมไปเยี่ยมชมเพราะติดใจกับกระบะพื้นเรียบ นอกจากจุดเด่นของพื้นกระบะแล้วขอบกระบะยังเปิดได้สามด้านอีกด้วย Suzuki ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว พนักงานขายตั้งใจบริการและตอบคำถามที่ต้องการได้ครบถ้วน นี่คือรถกระบะที่ราคาถูกที่สุดเพียง ๓๕๖,๘๐๐ บาท และยังสามารถเลือกติดแก๊ส NGV หรือ LPG ได้โดยไม่เสียพื้นที่บรรทุก อีกทั้งศูนย์ยังสามารถให้บริการติดตั้งตู้บนกระบะพร้อมต่อแอร์และติดสติกเกอร์อีกด้วย

ลิ้นยังมีสองแฉก....เอ้ยเหรียญยังมีสองด้านแล้วอะไรเล่าที่ทำให้ Suzuki Carry ยังไม่ใช่คำตอบ ทันที่ทีรู้ว่ารถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด ๑.๖ ผมก็รู้สึกตงิด ๆ ขึ้นมาทันทีว่าผมจะกล้าเอามันมาขนยางหรือมังคุดหนักเป็นตัน ๆ ไปส่งโรงงานหรือล้งผลไม้ไหม แม้ว่าพนักงานขายจะโน้มน้าวว่ามันมีอัตราทดเฟืองท้ายที่จัดมากไม่แพ้รถกระบะทั่วไปเลย ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่ารถจะต้องวิ่งด้วยรอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่าปรกติ แล้วมันยังคงจะประหยัดอยู่อีกหรือ? รถเบนซินเครื่องแค่นี้ถ้าใช้งานด้วยรอบสูง ๆ แล้วมันจะอยู่กับเราได้นานสักแค่ไหนกัน ยิ่งติดแก๊สเครื่องยิ่งร้อนเร็วถ้าเอามาวิ่งทางไกลอายุการใช้งานก็คงจะไม่ยาวแน่ ๆ และถ้าขนของไปขายบนเกาะจะหาแก๊สเติมได้หรือถ้าหาไม่ได้จนต้องเติมเบนซินแล้วมันจะประหยัดตรงไหน?

นอกจากเครื่องยนต์ที่ผมไม่ค่อยศรัทธาแล้วความสะดวกสบายในการขับขี่ก็ทำให้ผมต้องคิดหนักยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อได้ขึ้นไปนั่งผมรู้สึกเลยว่ารถคันนี้ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับคนขายาว กระบะตอนเดียวแม้ว่าจะขนของได้มากกว่าแต่ถ้าจะให้ใช้เพื่อการเดินทางด้วยแล้วแม้มันจะทำได้แต่ผมและคนที่นั่งมาด้วยก็คงจะไม่สนุกกับการเดินทางด้วยรถคันนี้เท่าใดนัก แน่นอนว่าประสบการณ์นี้ได้ทำให้รถกระบะตอนเดียวถูกตัดออกจากตัวเลือกไปโดยบริยาย


Nissan Navara (สาขาสิรินธร) ผมเคยขับรถนิสสันยกสูงมาบ้างในช่วงที่ทำงานอยู่ภาคใต้ การขับรถหกเกียร์ก็ให้ความรู้สึกที่แปลกดีคือมันต้องซอยบ่อย มันให้ความรู้สึกที่ดีเวลาที่ขับทางไกลแต่ถ้าช่วงรถติด ๆ ก็ต้องซอยกันยิกเลยทีเดียวเกียร์ถอยหลังอยู่ฝั่งเดียวกับเกียร์ ๖ เพื่อความปลอดภัยจะต้องกดหัวเกียร์ลงมาตรง ๆ ก่อนจึงจะเข้าเกียร์นี้ได้ ซึ่งผมเองก็โง่อยู่นานพอควร เครื่องยนต์ของ Nissan แม้จะมีขนาดเพียง ๒,๕๐๐ ซีซี แต่ก็นับว่าแรงที่สุดในบรรดารถกระบะในระดับเดียวกันในยุคหนึ่งโดยไม่เกรงศักดิ์ศรีค่ายอื่นแม้จะมาด้วยขนาด ๓,๐๐๐ หรือแม้แต่ ๓,๒๐๐ ซีซี แน่นอนว่าความแรงย่อมผกผันกับความประหยัด ซึ่งไม่ค่อยโดนใจเกษตรกรจน ๆ อย่างผมเท่าใดนัก แม้ว่าเซลล์จะหว่านล้อมว่ารถหกเกียร์ขับทางไกลประหยัดมาก แต่หากเรามาพิจารณาอัตราทดของเกียร์หกที่ ๐.๘๒๗ เมื่อเทียบกับ Colorado เกียร์ห้าที่ ๐.๗๒๕ และอัตราทดเฟืองท้าย ที่ ๓.๖๙๒ ส่วน Colorado อยู่ที่๓.๗๒๗ บางทีเราอาจไม่คิดเช่นนั้น แน่นอนว่าผลจากการขับจริงย่อมแตกต่างไปจากการประเมินด้วยตัวเลขเพียงเท่านี้แต่ถ้าหากเรากลับไปคุ้ยรีวิวรถซักสี่ห้าปีที่แล้วก็จะพบข้อมูลที่ยืนยันว่า Nissan "แรงสุด แดกสุด" ทั้งในและนอกเมือง สมดั่งคำขวัญว่า พันธุ์แกร่ง แรงจัด ประหยัด (ไม่) จริง

ด้านการออกแบบ Nissan มีบุคลิกภายนอกที่ดุดันมาก แค่เปลี่ยนกระจังหน้าก็จะดูคล้าย Hummer ขึ้นมาเลยทีเดียว แต่คนที่ไม่ชอบก็บอกว่ามันดูตัน ๆ การออกแบบภายในให้ความสำคัญกับประโยชน์ใช้สอย อาทิเช่น ช่องเก็บของด้านหน้าแยกสองช่อง ช่องเสียบกุญแจเรืองแสง กระจกมองหลังลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ ที่ Console มีหน้าจอ DVD ขนาด ๗ นิ้วที่ดูไม่ได้เมื่อรถกำลังวิ่ง (แต่ถ้าจะเอา Navigation ต้องไปติดเอาเอง) ที่น่าสนใจคือมี Cruise Control ในรุ่นเกียร์ธรรมดาด้วยซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีรถกระบะในบ้านเราที่ทำได้ ความปลอดภัยถือว่าดีมากรถมาพร้อม ABS Air bag และ EBD ในตัวขับสี่ทุกรุ่น แชสซีสทำด้วยเหล็กกล้าขึ้นรูปสองชั้นชิ้นเดียวยาวตลอดไม่เหมือน ISUZU กับ Chevrolet ที่ไม่เคยพูดถึงประเด็นนี้ ส่วนการรองรับการกระแทกจากด้านข้างก็หายห่วงเพราะ Nissan ติดตั้งคานขวางที่ประตูบานละ ๓ ตัวมากกว่าค่ายอื่น ๆ ที่อย่างมากก็ประตูละอัน

ถ้าพูดถึงความทันสมัยของการออกแบบภายในนั้นถือว่าค่อนข้างเชยหากเทียบกับตัว Top ของค่ายอื่นในปัจจุบัน ยิ่งเอาคนขับรถฝ่าไฟแดงจนชนคนอื่นมาเป็น Presenter ความอยากจะคลิก Like ให้ค่ายนี้มันก็เหี่ยวไปซะเฉย ๆ

ด้วยความที่พอจะมีความคุ้นเคยกับรถ Nissan มาบ้างวันนี้ผมจึงแค่มาขอใบราคาและรายละเอียดรถเพราะจะรีบกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวรับน้ำท่วมแต่พนักงานขายก็พยายามชวนคุยอย่างเต็มที่ก่อนจะมาตายเมื่อผมถามเธอว่า "คันนี้รองรับ Bio-Diesel หรือเปล่าครับ" เธอทำหน้าเหวอว่ามันคืออะไรก่อนที่จะเดินไปถามช่างเพื่อหาคำตอบให้กับผม เมื่อสบโอกาสที่พนักงานขายกำลังหน้าเจื่อนผมจึงชิงจังหวะรีบชิ่งออกมา

นี่คือปัญหาของหลาย ๆ ศูนย์บริการที่คัดเลือกพนักงานขายจากรูปร่างหน้าตาและอายุที่พวกเขา "คิดว่าใช่" ซึ่งผมไม่คิดว่าเปลือกนอกเหล่านี้จะสำคัญกว่าความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ ความสามารถในการสื่อสารกับลูกค้า และความเอาใจใส่ติดตามงาน

หลายอาทิตย์หลังจากนั้นพนักงานขายคนเดิมโทรมาหาผมเพื่อติดตามผลงาน ถึงผมจะยังไม่ตัดสินใจแต่ก็รู้สึกชื่นชมว่าเธอมีความพยายาม

Nissan เป็นเพียงหนึ่งในสองค่ายที่ติดต่อกลับหลังจากที่ผมได้เข้าเยี่ยมศูนย์บริการ

Mitsubishi สาขาสิรินธร คือแหล่งข้อมูลถัดไปของผม เนื่องจากที่บ้านมีอยู่แล้วหนึ่งคันผมจึงไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากใบราคาและรายละเอียดบางอย่าง ป้าที่อยู่ในศูนย์บอกให้ผมรอพนักงานขาย ซึ่งเพียงแค่แกเดินไปหยิบใบเสนอราคามาให้ผมก็จะเสร็จธุระ แต่ป้าแกไม่ทำ

.

.

.

.

.

..... "น้ำจะท่วมบ้านยังวะ....ห่าเอ้ย....แม่งเร็ว ๆ หน่อยได้ไหม" ......ผมสบถอย่างสุภาพในใจ

.

.

.

.

ในที่สุดพนักงานขายก็เดินตูดบิดมาหาผม มันก็คงจะเหมือนกันทุกค่ายละครับที่พนักงานขายพยายามลากการสนทนาออกไปให้นานที่สุดจนน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง

"ห่าแม่ง...มึงเคยขับรถที่มึงขายสักกี่ครั้งกันวะ...รถรุ่นนี้ที่บ้านกูก็มี แล้วมึงจะรู้จักมันดีกว่ากูไปได้ยังไง" ผมสบถอย่างสุภาพในใจอีกครั้ง

บางทีเขา/เธอ? อาจจะคิดว่ากูพูดเก่ง (เอาอยู่?)แต่บางทีเขา/เธอ? อาจจะไม่เคยฟังสิ่งที่ตัวเองพูดและไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าที่ลูกค้าทนฟังอยู่นั้นเพราะเขามีมารยาทและความอดทนพอที่จะไม่ตัดบทอย่างแรง ๆ

กลับเข้าสู่เรื่องรถดีกว่า Mitsubishi Triton ได้ยกเลิกการจำหน่ายรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 3.2 ด้วยข้อจำกัดเรื่องมลภาวะและเพื่อลดข้อเสียเปรียบเรื่องภาษี Triton จึงหันมาใส่เทอร์โบแปรผัน (VG) ให้กับเครื่อง 2.5 ลิตรจนรีดแรงม้าได้ถึง 178 เพื่อมาข่มแชมป์เก่าคือ Nissan Navara ซึ่งจัดมาที่ 174 แรงม้า แต่หากมาเจอกันบนถนนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเลขพละกำลังที่มากกว่านั้นจะเปลี่ยนออกมาเป็นความเร็วในเวลาที่น้อยกว่าหรือไม่ ขอจบการเปรียบเทียบเครื่องยนต์เพียงเท่านี้เพราะรถคันที่บ้านผมนั้นถูกปรับเปลี่ยนแต่งจูนจนมันเคลื่อนที่ด้วยการกระโดดจนไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐานในการวิจารณ์ได้ เกือบลืมบอกไป Mitsubishi มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดน้อยกว่าเพื่อนคือ ๕.๙ เมตร ซึ่งจนถึงปัจจุปันก็ยังไม่มีรถระดับเดียวกันในรุ่นยกสูงที่ทำได้ดีกว่านี้

การออกแบบภายในถือว่าไม่เลว เบาะนั่งผ้าสีดำแข็งแรงทนทานและขนหมาไม่ติดมากเหมือนพวกเบาะสักหลาด ที่วางเท้าตรงที่นั่งข้างคนขับเรียบวางเท้าได้เต็มตีนไม่เหมือน Isuzu แม้ว่าเท้าผมจะเบอร์ 44 อีกทั้งยังไม่มีคานอะไรมาปูดเกะกะเหมือน Ford Ranger ตัวใหม่ การเข้าเกียร์ทำได้ง่ายไม่ต้องโยกไกลเหมือน Isuzu และ Toyota (สิงห์ทางตรง) ซึ่งช่วยลดการสูญเสียได้ในระดับหนึ่ง จอแสดงข้อมูลทำได้น่าสนใจมากสามารถแสดงทิศทางแบบ Graphic บางท่านอาจคิดว่าแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเราขับตามถนนไม่ได้เดินทางตามทิศเหมือนคนเดินป่าหรือเดินเรือ แต่สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์เลยทีเดียวโดยเฉพาะเวลาที่หลงทางอยู่ต่างจังหวัด เพราะเพียงแค่หันหัวรถไปยังทิศทางที่เราจะไปแล้วก็ขับไปเรื่อย ๆ ในไม่ช้าเราก็จะขับไปเจอถนนใหญ่เอง นอกจากนั้นจอข้อมูลยังแสดงอัตราการใช้เชื้อเพลิง มุมตะแคงซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง และข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกด้วย

ไม่ชอบอยู่อย่างคือขอบประตูที่เกะกะขาชิบเป๋ง และสีเทาของวัสดุข้างประตูที่เป็นพลาสติกแท้แม้มันจะทำความสะอาดง่ายแต่...ผมก็ชอบรถสวย ๆ นะครับ ที่ประตูมีไฟติดให้ด้วยเข้าใจว่าเป็นกระบะรุ่นเดียวที่มีอุปกรณ์นี้ให้ ความยาวห้องโดยสารค่อนข้างมากด้วยรูปทรงรถที่ถือว่าแหกคอกในยุคหนึ่งเลยทีเดียว แต่ข้อเสียที่ตามมาคือพื้นที่บรรทุกที่น้อยลง รถรุ่นใหม่ได้แก้จุดอ่อนนี้ด้วยการเพิ่มความสูงของขอบกระบะซึ่งก็ชดเชยจุดอ่อนไปได้ระดับหนึ่ง Triton ใช้สายเคเบิลเป็นตัวยึดฝาปิดกระบะต่างจาก Isuzu และChevrolet ที่ยังคงเป็นข้อพับโลหะแม้ในรุ่นปี 2012 อะไหล่หาได้ไม่ลำบากและไม่ต้องรอนานในราคาที่ไม่โหดร้ายเหมือนรถหลายค่าย

Mitsubishi ออกรุ่นที่ใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซินและแก๊ส NGV พนักงานขายรีบฉวยโอกาสแทงข้างหลัง TATA ว่า เธอผ่านช่วงอวบขั้นสุดท้ายไปไกลแล้ว... เอ้ยไม่ใช่ รถยี่ห้อนี้ใช้พลังงานได้ระบบเดียว พอช่วงที่แก๊สส่งไม่ทันก็ต้องจอดกันเป็นแถว ถ้าต้องวิ่งออกนอกเส้นทางละก็ต้องวัดดวงกับปั๊มแก๊สข้างหน้ากันเลยทีเดียว

ข้อเสียของ Mitsubishi คือถังแก๊สที่อยู่ในโลงไฟเบอร์อันแน่นหนาถูกนำมาติดตั้งบนกระบะซึ่งก็เล็กกว่าเพื่อนอยู่แล้วทำให้คนที่ต้องการซื้อรถรุ่นนี้เพื่อมาขนของโดยเฉพาะต้องคิดหนัก เหมือนจะอ่านใจผมออกพนักงานขายรีบแก้เกมส์โดยไม่วายแขวะรถค่ายอื่นว่าการติดตั้งแบบนี้ปลอดภัยกว่า Toyota ที่ติดถังแก๊สไว้ใต้กระบะใกล้ ๆ กันชนหลัง เพราะถ้าโดนชนท้ายก็อาจจะมีลุ้น.....แต่ถ้าโดนชนข้างละครับ? ประเด็นนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าแบบไหนจะปลอดภัยกว่ากันแต่ถ้ามันระเบิดขึ้นมาจริง ๆ ผมก็เชื่อว่าถังที่อยู่ใกล้กันชนท้ายก็น่าจะดีกว่าถังที่อยู่ใกล้ท้ายทอย

Mitsubishi เปลี่ยน Presenter จาก จา พนม มาเป็น ตูน บอดีแสลม ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าระบบเสียงในรถจะดีขึ้น หรือแฟน Bodyslam จะเปลี่ยนมาขี่ Triton ตามนักร้องขวัญใจวัยรุ่นตอนปลายไปด้วย

คนที่เดินทางผ่านถนนสิรินธรบ่อย ๆ อาจสงสัยว่าผมลืมแวะศูนย์ Isuzu ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันหรือเปล่า ผมไม่ได้ลืมหรอกครับแต่จากการที่ขับรถ Isuzu Space Cap SLX ของอาที่ใช้อยู่ในสวนแล้วก็รถของพ่อแฟนทำให้ผมฟันธงว่า "แม่งโคตรกะหลั่วเลย"


Isuzu
ถ้าคุณเป็นคนขับก็จะรู้สึกว่ารถเป็นเชี่ยไรวะแม่งเร่งไม่ขึ้นเลย รถอืดแบบนี้มิน่าละถึงได้โฆษณาว่าประหยัดนัก ถ้าเติมน้ำมันสัก ๕๐๐ บาทก็สามารถขับจากตราดถึงกรุงเทพได้ การแซงแต่ละครั้งแทบจะต้องลุ้นกันตัวโก่งว่าจะพ้นหรือไม่ ภาพจากกระจกข้างก็เล็กจนมองอะไรแทบไม่รู้เรื่องเทียบไม่ได้กับค่ายอื่นโดยเฉพาะ Ford และ Mazda เบรกแม่งก็กะยาก เหยียบเบา ๆ มันก็ไม่ชะลอ พอกดลงไปอีกหน่อยคนที่นั่งเบาะ Cab ก็แทบจะกลิ้งลงมา มันไม่เป็นสัดส่วนกับการลงน้ำหนักเท้าเอาเสียเลย ถ้าคุณนั่งข้างคนขับก็จะรู้สึกว่า "มึงทำที่วางตีนมาให้กูแค่นี้เนี้ยนะ เอาตีนพาดบน Console เลยจะดีกว่าไหม" เข็มขัดนิรภัยคาดทีไรติดทุกทีเพราะที่วางแขนด้านข้างเบียดกับเบาะจึงไม่มีช่องว่างให้เข็มขัดลอดผ่าน Cab ก็ยังเปิดไม่ได้ต่างจากค่ายอื่นที่เขาทำกันได้เป็นชาติแล้ว เวลาจอดในที่เปลี่ยว ๆ ประสาทก็จะรับประทานเพราะกลัวเพื่อนบ้านจะยืมไปใช้ แต่ถ้าไปตลาดเวลากลับมาที่รถก็หาไม่ค่อยเจอเพราะมันเหมือนกันไปหมด ห่วงพื้นปูกระบะตรา Isuzu ที่ศูนย์ให้มาทำด้วยพลาสติก สิ่งที่ยากจะเชื่อคือนี่คือรถกระบะที่ขายดีเป็นอับแรก ๆ ในบ้านเรา...บางคนอาจให้เหตุผลว่าเพราะราคาขายต่อที่ดีจึงทำให้ Isuzu ได้รับความนิยม ผมว่าเหตุผลแบบนี้มันน่าจะเหมาะกับการซื้อทองรูปพรรณหรือหุ้นมากกว่า แต่ก็นานาจิตตังนะครับ สำหรับผม Isuzu ไม่อยู่ในสายตาเช่นเดียวกับรถคู่แฝดสัญชาติไทย (ฮิ) ที่มีนามกรว่า Chevrolet

ด้วยความบังเอิญผมไปธุระที่ห้างสรรพสินค้าในวันที่มีอีกสองค่ายมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย หนึ่งในนั้นคือ Mazda

Mazda BT 50 (ตัวก่อน 2012) รูปลักษณ์ภายนอกดูเชยนิด ๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนที่เห็นประโยชน์ใช้สอยสำคัญกว่ารูปลักษณ์ Presenter ดูเหมือนยอดมนุษย์สวมชุดรัดลึงค์ซึ่งไม่ได้ทำให้สินค้าดูดีขึ้นเลยทว่าเห็นแล้วอยากจะอ้วก ช่วงล่างของ Mazda แน่นเหมือนของแฟนเพื่อน เอ้ยแน่นเหมือนของเพื่อนก็คือ Ford นั่นเอง ภายใน "รู้สึก" จะเล็กกว่าค่ายอื่นนิด ๆ แต่กระจกมองหลังและมองข้างเห็นได้ถนัดมาก ๆ ราคาก็น่าสนใจเลยทีเดียว จะว่ารักแรกพบก็คงไม่ผิด เสียอยู่สองอย่างคือพวงมาลัยยังเป็นแบบถั่วและลูกกลอน (Nut and Bolt) ซึ่งก็ไม่ถึงกับพาวเย่อร์ แต่ค่ายอื่นเขา Rack and Pinion กันมาชาติเศษแล้ว ข้อเสียอีกอย่างคือกระจกหลังยังเป็นขอบยางเหมือนรถสมัยที่พ่อยังหนุ่มซึ่งถ้ามีใครเอาไรคม ๆ ไปกรีดขอบยางก็จะสามารถเข้าไปจัดการกับทรัพย์สินและเพื่อนแฟนที่อยู่ในรถได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อขอบยางเสื่อมสภาพเวลาที่เจอฝนตกแรง ๆ อาจทำให้น้ำซึมเข้ามา ซึ่งในปี 2011 มีเพียง Mazda และ Ford ที่ยังคงใช้ขอบกระจกหลังรุ่นพิพิธภัณฑ์นี้อยู่

Kia K2900 ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่า Kia ผลิตรถแบบนี้ออกมาขายด้วย มันคือรถกระบะที่หัวเหมือนรถตู้แต่ตัวเป็นกระบะพื้นเรียบที่เปิดข้างได้ทั้งสามด้านที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด ๒,๙๐๐ ซีซี ที่ราคา ๖๔๘,๐๐๐ แสนกว่า ๆ แรงม้าอยู่ที่ ๑๒๕ อาจไม่หวือหวาเหมือน Nissan แต่อัตราการปล่อยมลภาวะอยู่ในมาตรฐาน Euro IV รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดอยู่ที่ 4.9 เมตร ถือว่าคนละชั้นกับรถกระบะทั่ว ๆ ไป แม้จะเป็นรถตอนเดียวแต่ภายในถือว่าใหญ่ใช้ได้และมีพื้นที่ให้สามารถเหยียดขาหลังได้อย่างสบาย ๆ แต่ถ้าคิดจะไปเที่ยวแบบครอบครัวก็หมดสิทธิ์เพราะนั่งได้อย่างเก่งก็แค่สามคน ด้วยความที่หน้ารถกุดเหมือนหัวดักแด้จึงทำให้มีพื้นที่บรรทุกของด้านหลังอย่างเหลือเฟือโดยไม่มีซุ้มล้อปูดขึ้นมาให้รำคาญลูกกะตา ดูเผิน ๆ อาจคล้ายรถหกล้อแต่มันคือรถสี่ล้อจึงไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องเวลาหากจะต้องวิ่งเข้าเมืองหลวง แต่ถึงกระนั้นก็ตามหากขับรถรุ่นนี้ไม่ว่าคุณจะปฏิบัติตามกฎหมายทุกกระเบียดนิ้วแล้วพวกตะกวดมันก็หาเรื่องเรียกคุณอยู่ดี จุดอ่อนของ Kia ไม่ใช่ที่รถแต่เป็นเรื่องของอะไหล่และศูนย์บริการ ส่วนระบบความปลอดภัยนั้นอย่าได้ถาม

ในช่วงนี้ผมยังคงเดินทางไปมาระหว่างบ้านและสวนโดยยังไม่ได้สนใจรถรุ่นไหนเป็นพิเศษแต่ก็มีตัวเลือกที่แคบลงว่าจะเป็นรถตอนครึ่งยี่ห้ออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ Isuzu และ Chevrolet และไม่นานนักก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเลือกของผมแคบลงไปอีก

ต่อภาค ๒


3 comments:

AnT แอ๊น said...

-เขียนได้ข้อมูลดีมั่กๆ ทั้งข้อมูลตั้งแต่อดีต และปัจจุบัน เปรียบเทียบตัวรถ สมรรถนะ ความงาม รายละเอียดปลีกย่ิอยมากมาย รวมไปถึง presenter (ละเอียดได้อีกกกกกกก... รู้นะ ถ้ามีเวลาเขียนต่อก็คงยิบกว​่านี้แน่)

-เขียนแบ่งประเด็น เป็นเรื่องๆดีมากค่ะ แค่ปฐมภาคก็ได้รู้เรื่องรถไ​ป5-6ยี่ห้อละ เขียนแบบทำให้คนอ่านรู้แนวว​่าจะค่อยๆเผยออกมาทีละรุ่น ทำให้สามารถตามอ่านได้อย่าง​ง่ายๆ (เพื่อจะอ่านไปให้ถึงข้อมูล​รถที่ตัวเองสนใจ..และรอลุ้น​ต่อไปด้วยว่า...เมื่อไหร่แม​่งจะเลือกได้สักทีว้า....<-​-สบถอย่างสุภาพในใจ)

-รู้สึกว่า ISUZU นี่จะ... โดนยับกว่าเพื่อน สะเทือนใจยังไงชอบกล

-ชอบคำเก๋ๆ หลายๆ คำ/​วลี เช่นว่า... ความอยากจะคลิก like ก็เหี่ยวไป.. รีดแรงม้า.. เซลล์อาจไม่เคยฟังสิ่งที่ตัวเอง​พูด.. เป็นต้น

-อื่นๆก็... 1) มีใส่เลขไทยด้วย ดูสะดุดตาดี แบบว่า..ขัดกับข้อความหลายๆ​ส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษ
2) ข้อความมีการเน้นด้วยสีต่าง​ๆกัน เน้นดี อ่านง่ายดีค่ะ
3) ปล. แฟนๆของตูน บอดี้สแลม ก็ยังแว้นอยู่เช่นเคย เลือกpresenterมาแบบอาจลืมค​ิดถึงกลุ่มเป้าหมาย รึเปล่า:-)

สรุปคือ อ่านแล้วชอบค่ะ เขียนดีมาก เสียดสีบ้าง กัดจิก โน่นนี่ แต่ก็ได้ข้อมูลดี (ขนาดแอ๊นขับรถไม่เป็นนะเนี​่ย) เหมาะกับคนที่กำลังมองหารถใ​นแบบเดียวกัน คนอ่านได้ประโยชน์แน่นอน ไปอ่านตอนสองต่อล่ะน้า.....​.

Anonymous said...

เกลียดอะไรมักได้อย่างนั้นนะพี่ขวัญ

Kwan - Extreme said...

555 o_O