Popular Posts

Saturday, February 18, 2012

กว่าจะเป็นรถคันแรก – เรื่องยาวที่ยังไม่จบ ทุติยภาค

ตัวเลือกที่แคบลง

เช้าวันหนึ่งอาเดินออกไปขายยางแต่เช้าแล้วสักพักก็เดินจ้ำกลับมาบ้านพร้อมขับรถ 4x4 ที่ล้อแม็กยี่สิบนิ้วยังเรียกพ่อ "เอาไปลากรถรถซื้อยางเดี๋ยว พวกนี้ขนยางเป็นตันเลยไม่กล้าวิ่งทับร่องถนน สงสัยกลัวติดใต้ท้องรถ พอวิ่งบนเลนมันก็ไปไม่รอด" เสียงอาตะโกนมา


ผมจำไม่ได้ว่าอาทิตย์นั้นอาขับรถ Kubota กี่ครั้งเพื่อไปลากรถกระบะที่มาเกยตื้นในสวน แต่จำได้ว่าอาทิตย์นั้นเองที่ผมได้ข้อสรุปว่าต้องการรถตอนครึ่งยกสูงขับสี่ ด้วยเหตุนี้รถหลายรุ่นจากหลายค่ายจึงตกสเป็คไปเพราะขาดคุณสมบัติที่ต้องการ อาทิ Mitsubishi Triton (ไม่ผลิตรถตอนครึ่งที่ขับเคลื่อนสี่ล้อ), Kia และ TATA เป็นต้น ทั้ง ๆ ที่แต่ละคันก็มีจุดเด่นในแบบฉบับของตน

เรื่องในกรอบ ๒ – คุณภาพคืออะไร

ทุกคนล้วนต้องการสินค้าที่มีคุณภาพในขณะที่แต่ละคนกลับให้ความหมายของคำนี้แตกต่างกัน ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะในแวดวงอุตสาหกรรมพวกเขาได้พยายามศึกษาคำว่า "คุณภาพ" กันมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้วจนพอจะสรุปอย่างเรียบง่ายว่า "คุณภาพคือการตอบสนองต่อสิ่งที่ลูกค้าต้องการ" เช่นบอกแท็กซี่ให้ไปส่งที่สนามบินอาคารผู้โดยสารขาออก แต่ถ้าแท็กซี่กลับไปส่งที่อาคารผู้โดยสารขาเข้านี่ย่อมไม่ใช่การบริการที่มีคุณภาพ หรือนาย ก ติดต่อเช่ารถตู้เพื่อพาครอบครัวไปเที่ยวแต่บริษัทรถเช่ากลับนำรถสปอร์ตมาให้ ในกรณีนี้รถสปอร์ตย่อมไม่ใช่สินค้าที่มีคุณภาพแม้ว่ามันจะมีสมรรถนะหรือราคาสูงเพียงไรก็ตาม


ดังนั้นไม่ว่ารถจะมีกำลังเท่าไร หรูหราแค่ไหน ราคาขายต่อเป็นอย่างไร แต่หากว่ามันไม่มีคุณสมบัติที่เราต้องการแล้วก็ถือว่ามันไม่ใช่รถที่มี "คุณภาพ"


รถคันแรก

ผมกลับมาเก็บข้อมูลเพิ่มเติมที่กรุงเทพอีกครั้ง พ่อออกปากจะถอยกระบะมือสองให้เมื่อรู้ว่าผมต้องการจะซื้อรถใหม่ ผมดีใจที่พ่ออยากจะช่วยแต่พ่อคงไม่เข้าใจว่าผมเอือมกับการใช้ของมือสองมากเพียงไร การเกิดมาเป็นน้องที่อายุไล่เลี่ยกับพี่ชายทำให้ผมใช้ของมือสองมาเกือบจะตลอดชีวิต นี่ผมก็แก่ปูนนี้แล้วยังหนีมันไม่พ้นอีกหรือ ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพ่อไม่เข็ดกับรถมือสองของตัวเองที่อยู่ในสภาพขับไปซ่อมไปเลยหรือยังไง แม้ว่ามันจะมีดาวสามแฉกติดอยู่บนฝากระโปรงก็ตามแต่ถ้ามันอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วมันดีกว่ารถญี่ปุ่นตรงไหน

Ford คือเป้าหมายถัดไปของผม เว็บไซต์ Ford.co.th บอกที่ตั้งศูนย์บริการได้ดีมากจนผมไม่รู้ว่าศูนย์สาขาสิรินธรอยู่ตรงไหนจึงแวะไปดูที่พุทธมณฑลแทน T T พนักงานขายหญิงเข้ามาต้อนรับและให้ข้อมูลเป็นอย่างดี เธอบอกผมว่า Ford กำลังจะออกกระบะรุ่นใหม่โดยวันนี้ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในงาน "รถคันแรก" [ที่รัฐบาลจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศและเพื่อสร้างนิสัยฟุ้งเฟ้อให้กับประชนที่ยังไม่มีรถในชื่อของตนเอง] ซึ่งผู้บริโภคสามารถขอภาษีสรรพสามิตคืนได้หลังจากที่ซื้อรถไปแล้วหนึ่งปี ถึงจะมองว่านโยบายแบบนี้ทำให้คนฟุ้งเฟ้อแต่สำหรับคนที่จำเป็นจะต้องซื้อรถแล้วก็ถือว่าได้รับอานิสงส์ไม่น้อย (และผมก็จะได้มีข้ออ้างไปบอกพ่อว่าอย่าซื้อรถมือสองให้ผมเลย...)

นอกจากนั้นนี่คือโอกาสที่ดีมากสำหรับคนที่ต้องการจะซื้อรถเคยใหม่ในราคาถูกเพราะทันทีค่ายรถกำลังเปิดตัวรถรุ่นใหม่รถรุ่นที่กำลังจำหน่ายอยู่ก็จะกลายเป็นรถรุ่นเก่าไปทันที แน่นอนว่าราคามันจะตกลงพร้อมกันทั่วประเทศโดยมิได้นัดหมายซึ่งก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย อีกทั้งยังสามารถขอภาษีคืนได้เช่นกัน ผมเกือบจะใจอ่อนถอย Ford คันที่จอดอยู่ในศูนย์แต่เมื่อผมได้รับแผ่นพับ New Ranger (T6) จากพนักงานขาย....

"เฮ้ย Ford Ranger ตัวใหม่ แม่งโคตรสวยเลย ข้างในก็หรูอย่างกับ SUV" ผมร้องด้วยสายตาอย่างไม่เก็บอาการ

แผ่นพับเป็นรูปรถรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด ๒.๒ ลิตร ที่มาพร้อมกับพละกำลัง ๑๕๐ แรงม้าซึ่งปั่นมาด้วยเทอร์โบแปรผัน เครื่องยนต์ที่เล็กกว่ายังช่วยประหยัดค่าภาษีขนส่งได้อีก ระบบขับเคลื่อนมี ๖ สปีด บนกระบะมี Roll Bar สแตนเลสที่ลาดออกมาด้านหลังค่อนข้างมากโดยมีคานขวางด้านบนเพียงอันเดียวช่วยให้ดูโปร่ง Ford ใจดีให้ล้อแม็ก ๑๗ นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐานซึ่งต่างจากค่ายอื่นที่มักจะเป็นขนาด ๑๖ นิ้ว บันไดข้างสแตนเลสรูปทรงทันสมัยเรียบหรูไม่เกะกะ การออกแบบใหม่เปลี่ยนรูปแบบของหน้ารถที่ดูแบน ๆ ยาว ๆ ให้สั้นลงและเชิดขึ้นช่วยเพิ่มปริมาตรการบรรทุกอีกทั้งยังทำให้รถดูดีขึ้นด้วย หากพิจารณาดี ๆ ลักษณะภายของโดยเฉพาะด้านข้างของ New Ranger นั้นดูละม้ายคล้ายคลึงกับ Toyota Hilux Vigo มากกว่า Ranger ตัวเก่าเสียอีก ใครว่ามีแต่ญี่ปุ่นที่ Copy and Develop เป็น แต่อย่างไรก็ตามก็คงมีน้อยคนนักที่จะปฏิเสธว่า New Ranger ดูดีที่สุดในตอนนี้

ห้องโดยสารภายในเป็นแบบทูโทนเทาเงินสลับดำ กระจกข้างพับไฟฟ้า ระบบเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth ระบบการสั่งงานด้วยเสียง และที่น่าสนใจที่สุดคือระบบทำความเย็นเป็นแบบ Digital ซึ่งสามารถปรับอุณหภูมิห้องโดยสารซีกซ้ายและขวาได้อย่างเป็นอิสระต่อกัน....นี่มันอะไรกัน....... นอกจากนั้น New Ranger ยังมากับระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP), Adaptive Load Control, ระบบควบคุมการส่ายจากการลาก (Trailer Sway Control) และที่เจ๋งไม่น้อยไปกว่านั้นคือที่ปกหลังให้ข้อมูลว่าระบบเฟืองท้ายมีให้เลือกแบบ Limited Slip Rear Differential (LSD) และ Locking Rear Differential (LRD) อีกทั้งในเว็บยังบอกด้วยว่ารถมาพร้อมกับระบบ Hill Launch Assist ถ้าแปลเป็นภาษาคนก็คือระบบกันรถไหลเมื่อออกตัวจากทางชัน ระบบ Hill Descent Control ซึ่งช่วยควบคุมความเร็วเมื่อลงจากทางชัน....นี่มันบ้าไปแล้ว.....ไม่มีค่ายไหนทำแบบนี้ได้แน่ ๆ

พนักงานขายบอกว่า Ford ปล่อยออกมาก่อนสามรุ่นเพื่อเรียกน้ำย่อย จริง ๆ แล้วเตรียมตัวไม่ทันงานรถคันแรกเลยมีปัญญาทำได้แค่นี้ ถ้าอยากจะเห็นตัวจริงสามารถไปดูได้ที่ไบเทคตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

เมื่อออกจากศูนย์ผมรีบบึ่งกลับบ้านเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถรุ่นนี้จากในเว็บ รูปรถในเว็บสวยมากและสามารถดูได้แบบ ๓๖๐ องศาทั้งรุ่นสี่ประตูและโอเพ่นแคบ Ford บอกว่าการออกแบบภายในที่ดูทันสมัย บึกบึน และสะดวกต่อการใช้งานนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิกา Casio รุ่น G-shock (ค่ายนี้มาแปลกใช้ชื่อเสียงของนาฬิกามาโปรโมทสินค้าแทนที่จะใช้พวกดารา ศิลปิน ไม่แน่ว่าต่อไปอาจมีคนใช้น้ำหอมมาเป็น Presenter โดยอ้างว่ารถรุ่นนี้ออกแบบตามแรงบันดาลใจจากกลิ่นของน้ำหอมก็เป็นได้) อย่างไรก็ตามสำหรับแฟน G-shock พันธุ์แท้อย่างผมแล้ว... "New Ranger คือรถที่ออกแบบมาสำหรับผม (และนาฬิกาอันเป็นอาภรประจำกาย)" สโลแกนที่ว่า "การรอคอยของคนทั้งโลกสิ้นสุดลง" นั้นสงสัยจะจริง ผมจะไม่คิดอะไรให้มากมายอีกแล้ว พรุ่งนี้ผมจะไปไบเทค เพื่อเก็บข้อมูลรถมาพิจารณาเป็นครั้งสุดท้ายถ้าพอใจก็จะถอย Ford Ranger จากในงาน

One Ford?

One Ford คือนโยบายเชิงคุณภาพของรถค่ายนี้ว่ารถทุกคันจะต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก จะจริงหรือไม่อีกไม่กี่ก้าวผมก็จะได้พบกับมันแล้ว...The New Ranger

เมื่อเข้าไปในงานผมเดินตรงดิ่งไปยังรถฟอร์ดที่นำมาตั้งประดับงาน มันเป็นรถกระบะสี่ประตูสีขาว ผูกโบว์แดงอันสุดอุบาทว์ตามแนวคิดของงาน เห็นได้ชัดเจนว่าใหญ่กว่ารถรุ่นเก่าพอสมควร บันไดข้างของจริงดูดีมาก ๆ แต่แปลกใจว่า Roll Bar หายไปไหน ผมพยายามมองเข้าไปในตัวรถที่ล็อคอยู่แต่ทำได้ไม่ถนัดนักจึงต้องไปดูอีกคันที่ซุ้มของ Ford

รถ Ford Ranger สี่ประตูสีฟ้าจอดเด่นเป็นสง่า สี Aurora Blue สวยกว่าสีฟ้าของรุ่นเก่ามาก แต่รถคันนี้ยังคงไม่มี Roll Bar เช่นคันก่อน อีกทั้งยังแปลกใจด้วยว่าทำไม Ford ถึงเอารถมาแสดงที่ซุ้มคันเดียวทั้ง ๆ ที่เปิดให้จองแล้วสามรุ่น เมื่อก้าวเข้าไปในรถทัศนคติของผมที่มีต่อ Ford ก็เริ่มเปลี่ยนไป...

สิ่งที่คาดว่าจะได้เห็นกลับกลายเป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า การตกแต่งแบบทูโทนที่บริเวณ Console แผงประตู และเครื่องปรับอากาศแบบ Digital ปรับอุณหภูมิแยกซ้ายขวา ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัยเป็นเพียงสิ่งที่เห็นในแผ่นพับ ผมเดินไปขอข้อมูลจากพนักงานขายแต่ก็ไม่ได้อะไรมากไปกว่ากระดาษหนึ่งแผ่นที่ให้ข้อมูลแบบหยาบ ๆ ของรถฟอร์ดสามรุ่นพร้อมราคาขาย เสป็คบางอย่างที่เป็นจุดเด่นของรถกระบะ Ford เช่น ถุงลมนิรภัยแบบม่านกลับถูกตัดออกไปราวกับว่าขับรถ Ford แล้วจะไม่มีวันถูกชน เฟืองท้าย Limited Slip และ Differential Lock ที่โม้ว่าเลือกได้สองระบบกลับไม่มีแม้แต่ในรุ่น XLT ส่วนในรุ่น Wild Track ก็มีเพียงแค่ Limited Slip เท่านั้น ซึ่งมันอนาถมากเพราะรถกระบะอย่าง TATA ก็ยังมีคุณสมบัติอันหลังนี้ ถ้าคุณคาดหวังจะได้ Spec แบบคม ๆ เช่น ขนาดกระบะ น้ำหนักบรรทุก รัศมีเลี้ยวแคบสุด อัตราทด ความจุถังน้ำมัน อัตราสิ้นเปลืองงานนี้ก็คงจะมาเสียเที่ยว

One Ford คงจะหมายถึงประเทศไทยเพียงประเทศเดียวที่ได้รถกระจอกกว่าเพื่อน แม้เสป็ครถ Ford Ranger ของประเทศไทยจะด้อยกว่าต่างประเทศมาก ๆ แต่ด้วยเหตุที่รถทำมาจากโครงสร้างพื้นฐานเดียวกันผู้ที่ต้องการทราบข้อมูลเฉพาะทางเทคนิค เช่น ระบบกำลังส่ง มิติกระบะ น้ำหนักบรรทุก-ลากสูงสุด อัตราสิ้นเปลือง มุมประทะ มุมคร่อม มุมจาก ฯลฯ ต้องไปหาดูจากได้จากเว็บไซต์ Ford ในต่างประเทศ การปิดบังข้อมูลในลักษณะนี้ก็เป็นอีกกลยุทธ์ไม่ให้ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบสินค้ากับผู้ผลิตรายอื่นได้อย่างสะดวก Ford ประเทศไทยตีปี๊บดังลั่นว่า New Ranger 2.2 XLT Double Cab สามารถวิ่งได้ถึง ๑๙ กม ด้วยน้ำมันเพียง ๑ ลิตร (ด้วยความเร็วเฉลี่ย ๗๐ กม/ชม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่คนปรกติไม่ทำ) ในขณะที่ทาง Ford ออสเตรเลียระบุว่าอัตราสิ้นเปลืองของรุ่นเดียวกันที่ ๘.๑ ลิตร/๑๐๐ กม ซึ่งก็คือ ๑๒.๓๔ กม ต่อน้ำมัน ๑ ลิตร...แล้วคุณจะเชื่อใคร

จุดเด่นของ New Ranger ใช่ว่าจะไม่มีเลย เปลือก การออกแบบภายนอกดูดีมาก ๆ กระจกข้างพับไฟฟ้า เส้นขอบกระบะและขอบหน้าต่างต่อเนื่องเป็นแนวเดียวกันช่วยสร้างเอกภาพของตัวรถได้เป็นอย่างดี ฝาปิดกระบะท้ายให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งมาก ยกมือเดียวแทบไม่ขึ้น ถ้าให้ผู้ใช้ Isuzu หรือ Mitsubishi มายกก็คงจะให้ความเห็นเหมือนกับผม แน่นอนว่าส่วนหนึ่งของน้ำหนักมาจากมิติความสูงของกระบะที่มากขึ้นแต่ก็คงจะปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ามันมาจากความแน่นหนาของตัวรถ นอกจากนั้นความรู้สึกแน่น ๆ แบบนี้ยังรู้สึกได้เมื่อปิดประตูด้วยเช่นกัน เสียอย่างเดียวที่ร่องจับประตูด้านในทำใกล้จุดพับ (Pivot) มากจึงต้องเอื้อมขาหน้าไปไกลและออกแรงในการดึงประตูเข้ามา (ปัญหานี้กลับไม่มีใน New Mazda ที่ข้างประตูเกือบจะเหมือนกันแต่เลื่อนตำเหน่งจับบานประตูให้ใกล้เข้ามาและยังสามารถใช้เป็นที่ใส่ของเล็ก ๆ ได้อีกด้วย)

กลับมาสู่สิ่งที่กำลังเผชิญอีกครั้ง ระหว่างที่ผมกำลังช็อคอยู่กับสิ่งที่เห็น พนักงานขายก็ทำให้ผมช็อคมากกว่าเก่าเมื่อเธอพยายามยัดเยียดให้ผมจองรุ่น Open Cab ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีใครเคยเห็นรถ ไม่รู้ว่าเธอลืมไปหรือเปล่าว่ากำลังขายรถราคาเฉียดล้านไม่ได้กำลังขายหวยที่ลูกค้าไม่ต้องเห็นของ ไม่ต้องทดลองขับ นี่มันดูถูกผู้บริโภคกันมากเกินไปแล้ว Ford แสดงข้อมูลในเว็บและแผ่นพับมาอย่างแต่ของจริงกลับเป็นอีกอย่าง นี่รถก็ยังไม่นำมาแสดงแต่จะให้รีบจองแบบนี้จะให้ผู้บริโภครู้สึกอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยเห็นรถ เธอบอกผมว่ากระบะตัวใหม่กว้างกว่า ยาวกว่า ดีกว่าตัวเก่า แต่พอผมถามเธอว่ามันกว้างยาวเท่าไรและดีกว่าอย่างไร จนถึงป่านนี้ผมก็ยังไม่ได้รับคำตอบจากเธอ

ผมพยายามมองในแง่ดีว่าบางที Ford อาจจะเตรียมตัวไม่ทันกับงานที่รัฐบาลจัดขึ้นอย่างปุบปับจึงนำรถมาแสดงเพียงคันเดียวเพียงเพื่อให้ผู้บริโภคพอจะเห็นภาพว่า New Ranger นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงยังไม่ทำแผ่นพับรายละเอียดรถออกมาแจก พยายามหลอกตัวเองว่าบางทีรถที่จำหน่ายจริงอาจแตกต่างไปจากนี้ ถามพนักงานขายแม่งก็ไม่รู้ห่าอะไรทางที่ดีผมจะควรเมลไปถามทาง Ford โดยตรง แต่จนถึงวันนี้ Ford ก็ไม่เคยตอบเมลฉบับนั้นของผม

หนังสือหน้า (Facebook) คือช่องทางสุดท้ายที่ผมจะสื่อสารกับรถค่ายนี้ ผมถามคำถามเดียวกันกับที่ส่งอีเมลไปโดยเลือก post ลงบนที่กระทู้เกี่ยวกับ New Ranger ที่มีคนถามตอบและมีหน้าม้ากด like เป็นจำนวนมากเพื่อกดดันให้ admin รีบมาตอบคำถามเหล่านี้

แต่ผมกลับได้รับคำตอบเพียงสั้น ๆ ว่า แผ่นพับนั้นทำมาก่อนการผลิตรถ (แล้วมึงประสานงานกันภาษาห่าอะไรวะ ไม่มีการวางแผนการผลิตหรือยังไง) และรถจริงก็จะมีเสป็คตามที่เห็นในงาน (นี่พูดเล่นใช่ไหม) ยังไงก็ขอให้ส่งคำถามไปที่ info@ford.co.th (นี่มึงไม่ได้อ่านที่กู post เลยใช่ไหม ว่ากูส่งเมลไปแล้ว)

การให้บริการบนหนังสือหน้าของ Ford ในช่วงนั้นถือว่าอับปัญญามาก มีลูกค้าท่านหนึ่งถามง่าย ๆ ว่ากระบะรุ่นใหม่นี้มีเหล็กกันโครงหรือไม่ (หนึ่งในจุดขายของ Ranger ตัวเก่าคือ "เกาะทุกโค้งกับเหล็กกันโคลงหน้า-หลัง รายแรกในเมืองไทย") ทว่าพนักงานกลับตอบอย่างมักง่ายขอไปทีว่า "สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www…….." ทั้ง ๆ ที่เขาสามารถตอบกลับเพียงสั้น ๆ สองคำว่า "ไม่มี"

จากการศึกษาข้อมูลไปเรื่อย ๆ ทำให้เข้าใจว่าข้อมูลและภาพของสินค้าที่ปรากฏอยู่บนเว็บของ Ford นั้นไม่ใช่สินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทย เพื่อการสร้างภาพลักษณ์ที่สวยหรูและด้วยความมักง่าย ซึ่ง Ford ไม่คิดจะปรับเปลี่ยนข้อมูลดังกล่าวให้ตรงกับความเป็นจริง แต่กลับใช้คาถาป้องกันตัวว่า "รายละเอียดของรถอาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ" ลองพิจารณาให้ดีว่ามีที่ไหนบ้างที่ใช้ภาษาไทย และถ้าเว็บ Ford ประเทศไทยไม่แสดงข้อมูลให้ตรงกับสินค้าที่จำหน่ายแล้วจะให้คนไทยไปศึกษาข้อมูลสินค้าจากที่ไหน อย่าบอกว่าให้เมลไปที่ info@ford.co.th หรือพนักงานขายเลย เพราะพวกนี้ไม่เคยตอบและไม่รู้ห่าอะไรทั้งสิ้น ยิ่งถ้าไปถามอะไรที่ facebook เจ้าหน้าที่ก็จะให้ส่งคำถามเดิมอีกรอบไปที่ info@ford.co.th แทนที่จะตอบคำถามเสียตรงนั้นหรืออย่างน้อยก็ช่วยส่งต่อไปผู้ที่สามารถตอบคำถามได้

Ford พยายามสร้างภาพให้ New Ranger เป็นรถกระบะระดับหรูดังที่เห็นได้จากสเป็ครถที่จำหน่ายในต่างประเทศ แน่นอนว่าราคาขายต้องปรับตามทำให้ Ford อาจเสียลูกค้าบางส่วน จะว่าไปมันก็เหมือนกับการเลือกคู่ที่จะมีสักกี่คนที่ไม่อยากได้คู่ครองหน้าตาดี ทว่าจะมีสักกี่คนกันที่มีคู่ครองเช่นนั้น ฉันใดก็ฉันนั้นใคร ๆ ก็ชอบกระบะหรู ๆ แต่จะมีสักกี่คนที่จะมีปัญญาครอบครอง นอกจากนั้นหาก Ford ต้องการจะฉวยปลามันจากโครงการรถคันแรก New Ranger จะต้องจำหน่ายในราคาไม่เกิน ๑ ล้านบาท จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Ford จะตัดสเป็คเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งกับรถเจ้าตลาดและสามารถรับประโยชน์จากโครงการของรัฐบาลด้วย จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่รถกระบะที่ผลิตโดยแรงงาน (ราคาถูก) ชาวไทย สร้างมลพิษที่ประเทศไทย ใช้ประโยชน์จาก พรบ.ส่งเสริมการลงทุนและสิทธิอื่น ๆ อีกสารพัด รวมถึงนโยบายการค้าเสรีที่เอื้อประโยชน์ให้อุตสาหกรรมจากต่างชาติที่มาถลุงทรัพยากรไทยในขณะที่กลับทำให้เกษตรกรของเราถูกแย่งตลาดจากผลิตผลต่างประเทศ ที่น่าเศร้าไม่แพ้กันคือรถ Ford ที่คนไทยได้ใช้กลับไม่อยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกันกับที่จำหน่ายในประเทศอื่น นี่ความเนรคุณที่ Ford ทำกับตลาดรถกระบะหนึ่งตันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอันเป็นบ้านเกิดของมัน ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าคนที่พร่ำเพ้อโหยหา T6 นั้นคิดอะไรกันอยู่ บางทีอาจจะเป็นพวกพนักงานที่ปั่นกระทู้กันเอง

New Ranger เป็น One Ford เพียงแต่เปลือกหาใช่ที่สมรรถนะหรือความปลอดภัยแต่อย่างใด การรอคอยของคนทั้งโลกเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่การรอคอยของผมสิ้นสุดลงแล้ว


กว่าจะเป็นรถคันแรก – เรื่องยาวที่ยังไม่จบ ปฐมภาค


บทวิจารณ์โดยคนธรรมดาเพื่อคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ฆรรมเฏือณ กะรุนาฏรวดศอฟฆวามถูกฏ้องฃองฅ่อมูฬจากษูญบริกาญอีกฅรั้ง บฏสนธะณาเปญเรื่องจิงแฏ่ถูกฎัฏแปฬงเฬ็กณ้อญ



Foreplay Foreword

แต่ละคนย่อมจะมีเหตุผลของตัวเองในการเลือกซื้อรถสักคัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เสียค่าโง่ไปแล้วย่อมขอเงินคืนไม่ได้
เราย่อมเชื่อว่าเราได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง อย่างน้อยก็ด้วยข้อมูล สติปัญญา และกำลังทรัพย์ที่มีอยู่ในขณะนั้น

การซื้อรถครั้งนี้ทำให้ผมได้ความรู้และประสบการณ์ไม่น้อย และเชื่อว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้อาจเป็นประโยชน์กับผู้ที่ต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อรถ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของรถที่ทางผู้ประกอบการเจตนาไม่นำมาแสดงในบ้านเรา ข้อเท็จจริงที่คนขายไม่อยากให้คุณรู้ เล่ห์เหลี่ยมการขายของพนักงาน การประสานงานที่ล้มเหลวของบริษัทแม่และศูนย์บริการ วิธีแก้ปัญหาเมื่อรถอาจมาไม่ตรงเวลา ฯลฯ ในอีกทางหนึ่งยังหวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางให้กับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ศึกษาความต้องการและกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภค เพื่อให้สามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า

กันยายน ๒๕๕๔

ผมเริ่มบทใหม่ของชีวิตด้วยการทำสวนมังคุดควบยางพาราแซมไม้ป่าที่จังหวัดตราด ฝนที่ตกหนักโคตร ๆ ถนนลูกรัง และหล่มโคลนในสวนบังคับให้ผมยอมรับว่ารถยนต์ของผมนั้นไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการใช้ชีวิตที่นี่

.

.

.

รถยนต์ที่ผมใช้อยู่นั้นอายุ ๑๗ ปี......ติดแก๊ส LPG และถูกวางเครื่องมาแล้วสองครั้ง

.

.

.

บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องถอยรถกระบะมาใช้สักคัน

จริง ๆ แล้วที่บ้านกรุงเทพของผมก็มีรถกระบะอยู่หนึ่งคัน คือ Mitsubishi Triton 2.5 สี่ประตู 4x4 และพี่ชายผมก็เป็นคนเอ่ยปากเองว่าจะสลับรถกันใช้ก็ได้ แต่ผมกลับมองว่ารถกระบะสี่ประตูนั้นยังไม่ตรงกับความต้องการของผมอย่างแท้จริงเพราะเสียพื้นที่ขนของไปให้ที่นั่งด้านหลังไม่น้อย นอกเสียว่าจากจะซื้อรถเทรลเลอร์มาพ่วงท้ายให้พวกตะกวดเรียกเป็นว่าเล่น เหตุนี้เองรถกระบะที่ผมเล็งอยู่ในขณะนั้นจึงเป็นรถตอนเดียวและตอนครึ่ง

ด้วยความที่ผมไม่ใช่นักเลงกระบะจึงไม่ได้คลั่งไคล้รถค่ายใดค่ายหนึ่งเป็นพิเศษ หากจะกระแดะพูดภาษานักการตลาดก็คือ ผมไม่มี Brand Loyalty ให้กับรถยี่ห้อไหน ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะมันทำให้เพราะผมสามารถเลือกรถได้ตรงกับความต้องการในการใช้งานที่สุด พูดแล้วก็นึกถึงวลีอมตะของ เติ้งเสี่ยวผิงที่ว่า "ไม่ว่าแมวจะสีขาวหรือสีดำตราบใดที่มันยังจับหนูได้มันก็คือแมวที่ดี"

ผมวางแผนว่าจะเก็บข้อมูลไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่ได้สนใจค่ายไหนเป็นพิเศษก็คงจะถอย Mitsubishi ไม่ใช่เพราะบ้ายี่ห้อดังที่เพิ่งจะกล่าวไปแต่เพราะผมสนิทสนมกับตัวแทนจำหน่ายซึ่งเคยช่วยให้ที่บ้านถอย Triton 2.5 สี่ประตู 4x4 มาด้วยราคาหกแสนเศษ ๆ พร้อมพื้นปูกระบะ ฟิล์มกรองแสง ฯลฯ (ไม่มีถุงลม ABS และไฟตัดหมอก) ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือหากใช้รถยี่ห้อเดียวกับรถที่บ้านก็ผมก็จะสามารถใช้อะไหล่ที่วางอยู่เกลื่อนโรงรถพร้อมทั้งเข้าถึง Know How หรือค่าโง่จากกูรูประจำบ้านที่เสียตังไปแล้วไม่น้อย

ผมได้ตั้งโจทย์ไว้อย่างกว้าง ๆ ว่า "รถกระบะสองประตู ถ้าติดแก๊สจะต้องไม่เสียพื้นที่บรรทุก สามารถหาคอกกระบะมาใส่ได้ ยี่ห้ออะไรก็ได้ทั้งนั้นถ้าสมรรถนะสูสีอันไหนถูกกว่าหรือให้มากกว่าก็เอาอันนั้น"
จากนั้นผมจึงเริ่มเก็บข้อมูลจากค่ายต่าง ๆ ในช่วงที่ย้อนกลับมาบ้านกรุงเทพฯเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการน้ำที่นายคูณศิลปะม้าฟันธงผ่านช่องสามว่าไม่ท่วมในขณะที่เจ๊นกแก้วก็บอกว่า "เอาอยู่"

เรื่องในกรอบ ๑ – นโยบายการตลาด

ด้วยการแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือดรุนแรงมากขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น ภาคธุรกิจจึงพยายามสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าของตนเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าให้ดูมีคุณค่ามากกว่าประโยชน์ใช้สอยที่แท้จริง (Core Value) ทำให้สินค้าดูมีภาษีกว่าของคู่แข่ง เช่น นาย ก และนาย ข ขายมีดชนิดเดียวกันในราคาเท่ากันเพราะต่างก็รู้ดีว่าหากใครคนใดขึ้นราคาลูกค้าก็จะไปซื้อมีดจากคู่แข่งทันที นาย ก จึงสร้างมูลค่าให้กับสินค้าของตนโดยการตอกคำว่า "อรัญยิก" ลงบนใบมีด ทำให้นาย ก สามารถขายมีดได้มากขึ้นในราคาที่แพงกว่าทั้งที่ ๆ ทั้งสองคนยังคงขายสินค้าที่มีคุณสมบัติเดียวกัน นาย ข จึงตอกคำว่า "อรัญยิกแท้" ลงบนมีดของตนเองบ้างและพบว่าสินค้าขายดีมากและยังสามารถขายได้ในราคาสูงกว่าก่อน เมื่อเป็นเช่นนั้นนาย ก จึงนำมีดบางส่วนไปให้กองทัพแล้วโฆษณาว่า "อรัญยิก มีดที่กองทัพเลือกใช้" ทำให้มีดของนาย ก กลับมาได้รับความนิยมมากกว่า ด้วยเหตุนี้นาย ข จึงโฆษณาว่ามีดของตนใช้การผลิตแบบพิเศษที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศทำให้นาย ข ขายมีดได้สูสีกับนาย ก อีกครั้ง นาย ก ไม่ยอมแพ้จึงโฆษณาว่าสินค้าของตนสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าเพราะใช้ด้ามมีดจากป่าปลูกทำให้มีดของนาย ก กลับมาขายดีอีกครั้ง นาย ข จึงนำมีดไปแจกให้กับครัวศูนย์ประสบภัยน้ำท่วมแล้วโฆษณาว่าร้านของตนมีความรับผิดชอบต่อสังคม


จะเห็นได้ว่าสิ่งที่นาย ก และนาย ข ได้ทำมานั้นเป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์ (ที่พวกดาราชอบเรียกแบบผิด ๆ ว่าภาพพจน์) ให้กับสินค้าเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้มากขึ้นหรือขายได้ในราคาที่สูงขึ้นโดยที่คุณสมบัติของสินค้านั้นยังคงเหมือนเดิมทุกประการ ด้วยต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นทำให้ผู้บริโภคกลายเป็นเหยื่อของนโยบายการตลาดรูปแบบนี้เพราะจะต้องแบกภาระด้วยการซื้อสินค้า "เดิม" ในราคาที่มากกว่าก่อน การสร้างภาพด้วยวิธีดังกล่าวปรากฏอยู่มากในอุตสาหกรรมยานยนต์ เช่น กระบะอเมริกันพันธุ์แกร่ง ของ Chevrolet ทั้ง ๆ ที่มันถูกพัฒนาขึ้นที่บราซิล เครื่องยนต์ออกแบบโดยวิศวกรที่อิตาลี แต่ผลิตในประเทศไทยโดยทำการผลิตร่วมกับบริษัทญี่ปุ่น นายใหญ่ที่อยู่ในบ้านเราเป็นคนเยอรมัน ดังนั้นรถกระบะค่ายนี้ยังสมควรกล่าวอ้างว่าเป็นรถกระบะอเมริกันหรือไม่ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ Nissan ที่ใช้คำว่า Eco-Power เพื่อจะสื่อสารว่ารถของตัวเองประหยัดน้ำมันเพราะมีเกียร์เดินหน้าถึงหกเกียร์ แต่จากผลการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองกลับให้ผลที่ตรงข้าม


การสร้างภาพลักษณ์แบบนี้เองที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้พิจารณาสินค้าจากประโยชน์ใช้สอยที่แท้จริง แต่กลับยินดีจะจ่าย ค่าโง่ ในราคาที่สูงกว่าเพื่อให้ได้รับความรู้สึกบางอย่างที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ที่แท้จริงของสินค้าเลย เช่นเดียวกับการเลือกแมวที่หลายคนอาจเลือกจากคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น สายพันธุ์ สีสัน แววตา รูปลักษณ์ภายนอก แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกด้วยเหตุผลใดก็ตามจงอย่าลืมว่า


"ไม่ว่าแมวจะสีขาวหรือสีดำตราบใดที่มันยังจับหนูได้มันก็คือแมวที่ดี"


บทแรกของการเก็บข้อมูล

Suzuki Carry (สาขาสิรินธร) คือรถรุ่นแรกที่ผมไปเยี่ยมชมเพราะติดใจกับกระบะพื้นเรียบ นอกจากจุดเด่นของพื้นกระบะแล้วขอบกระบะยังเปิดได้สามด้านอีกด้วย Suzuki ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว พนักงานขายตั้งใจบริการและตอบคำถามที่ต้องการได้ครบถ้วน นี่คือรถกระบะที่ราคาถูกที่สุดเพียง ๓๕๖,๘๐๐ บาท และยังสามารถเลือกติดแก๊ส NGV หรือ LPG ได้โดยไม่เสียพื้นที่บรรทุก อีกทั้งศูนย์ยังสามารถให้บริการติดตั้งตู้บนกระบะพร้อมต่อแอร์และติดสติกเกอร์อีกด้วย

ลิ้นยังมีสองแฉก....เอ้ยเหรียญยังมีสองด้านแล้วอะไรเล่าที่ทำให้ Suzuki Carry ยังไม่ใช่คำตอบ ทันที่ทีรู้ว่ารถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาด ๑.๖ ผมก็รู้สึกตงิด ๆ ขึ้นมาทันทีว่าผมจะกล้าเอามันมาขนยางหรือมังคุดหนักเป็นตัน ๆ ไปส่งโรงงานหรือล้งผลไม้ไหม แม้ว่าพนักงานขายจะโน้มน้าวว่ามันมีอัตราทดเฟืองท้ายที่จัดมากไม่แพ้รถกระบะทั่วไปเลย ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่ารถจะต้องวิ่งด้วยรอบเครื่องยนต์ที่สูงกว่าปรกติ แล้วมันยังคงจะประหยัดอยู่อีกหรือ? รถเบนซินเครื่องแค่นี้ถ้าใช้งานด้วยรอบสูง ๆ แล้วมันจะอยู่กับเราได้นานสักแค่ไหนกัน ยิ่งติดแก๊สเครื่องยิ่งร้อนเร็วถ้าเอามาวิ่งทางไกลอายุการใช้งานก็คงจะไม่ยาวแน่ ๆ และถ้าขนของไปขายบนเกาะจะหาแก๊สเติมได้หรือถ้าหาไม่ได้จนต้องเติมเบนซินแล้วมันจะประหยัดตรงไหน?

นอกจากเครื่องยนต์ที่ผมไม่ค่อยศรัทธาแล้วความสะดวกสบายในการขับขี่ก็ทำให้ผมต้องคิดหนักยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อได้ขึ้นไปนั่งผมรู้สึกเลยว่ารถคันนี้ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับคนขายาว กระบะตอนเดียวแม้ว่าจะขนของได้มากกว่าแต่ถ้าจะให้ใช้เพื่อการเดินทางด้วยแล้วแม้มันจะทำได้แต่ผมและคนที่นั่งมาด้วยก็คงจะไม่สนุกกับการเดินทางด้วยรถคันนี้เท่าใดนัก แน่นอนว่าประสบการณ์นี้ได้ทำให้รถกระบะตอนเดียวถูกตัดออกจากตัวเลือกไปโดยบริยาย


Nissan Navara (สาขาสิรินธร) ผมเคยขับรถนิสสันยกสูงมาบ้างในช่วงที่ทำงานอยู่ภาคใต้ การขับรถหกเกียร์ก็ให้ความรู้สึกที่แปลกดีคือมันต้องซอยบ่อย มันให้ความรู้สึกที่ดีเวลาที่ขับทางไกลแต่ถ้าช่วงรถติด ๆ ก็ต้องซอยกันยิกเลยทีเดียวเกียร์ถอยหลังอยู่ฝั่งเดียวกับเกียร์ ๖ เพื่อความปลอดภัยจะต้องกดหัวเกียร์ลงมาตรง ๆ ก่อนจึงจะเข้าเกียร์นี้ได้ ซึ่งผมเองก็โง่อยู่นานพอควร เครื่องยนต์ของ Nissan แม้จะมีขนาดเพียง ๒,๕๐๐ ซีซี แต่ก็นับว่าแรงที่สุดในบรรดารถกระบะในระดับเดียวกันในยุคหนึ่งโดยไม่เกรงศักดิ์ศรีค่ายอื่นแม้จะมาด้วยขนาด ๓,๐๐๐ หรือแม้แต่ ๓,๒๐๐ ซีซี แน่นอนว่าความแรงย่อมผกผันกับความประหยัด ซึ่งไม่ค่อยโดนใจเกษตรกรจน ๆ อย่างผมเท่าใดนัก แม้ว่าเซลล์จะหว่านล้อมว่ารถหกเกียร์ขับทางไกลประหยัดมาก แต่หากเรามาพิจารณาอัตราทดของเกียร์หกที่ ๐.๘๒๗ เมื่อเทียบกับ Colorado เกียร์ห้าที่ ๐.๗๒๕ และอัตราทดเฟืองท้าย ที่ ๓.๖๙๒ ส่วน Colorado อยู่ที่๓.๗๒๗ บางทีเราอาจไม่คิดเช่นนั้น แน่นอนว่าผลจากการขับจริงย่อมแตกต่างไปจากการประเมินด้วยตัวเลขเพียงเท่านี้แต่ถ้าหากเรากลับไปคุ้ยรีวิวรถซักสี่ห้าปีที่แล้วก็จะพบข้อมูลที่ยืนยันว่า Nissan "แรงสุด แดกสุด" ทั้งในและนอกเมือง สมดั่งคำขวัญว่า พันธุ์แกร่ง แรงจัด ประหยัด (ไม่) จริง

ด้านการออกแบบ Nissan มีบุคลิกภายนอกที่ดุดันมาก แค่เปลี่ยนกระจังหน้าก็จะดูคล้าย Hummer ขึ้นมาเลยทีเดียว แต่คนที่ไม่ชอบก็บอกว่ามันดูตัน ๆ การออกแบบภายในให้ความสำคัญกับประโยชน์ใช้สอย อาทิเช่น ช่องเก็บของด้านหน้าแยกสองช่อง ช่องเสียบกุญแจเรืองแสง กระจกมองหลังลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ ที่ Console มีหน้าจอ DVD ขนาด ๗ นิ้วที่ดูไม่ได้เมื่อรถกำลังวิ่ง (แต่ถ้าจะเอา Navigation ต้องไปติดเอาเอง) ที่น่าสนใจคือมี Cruise Control ในรุ่นเกียร์ธรรมดาด้วยซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีรถกระบะในบ้านเราที่ทำได้ ความปลอดภัยถือว่าดีมากรถมาพร้อม ABS Air bag และ EBD ในตัวขับสี่ทุกรุ่น แชสซีสทำด้วยเหล็กกล้าขึ้นรูปสองชั้นชิ้นเดียวยาวตลอดไม่เหมือน ISUZU กับ Chevrolet ที่ไม่เคยพูดถึงประเด็นนี้ ส่วนการรองรับการกระแทกจากด้านข้างก็หายห่วงเพราะ Nissan ติดตั้งคานขวางที่ประตูบานละ ๓ ตัวมากกว่าค่ายอื่น ๆ ที่อย่างมากก็ประตูละอัน

ถ้าพูดถึงความทันสมัยของการออกแบบภายในนั้นถือว่าค่อนข้างเชยหากเทียบกับตัว Top ของค่ายอื่นในปัจจุบัน ยิ่งเอาคนขับรถฝ่าไฟแดงจนชนคนอื่นมาเป็น Presenter ความอยากจะคลิก Like ให้ค่ายนี้มันก็เหี่ยวไปซะเฉย ๆ

ด้วยความที่พอจะมีความคุ้นเคยกับรถ Nissan มาบ้างวันนี้ผมจึงแค่มาขอใบราคาและรายละเอียดรถเพราะจะรีบกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวรับน้ำท่วมแต่พนักงานขายก็พยายามชวนคุยอย่างเต็มที่ก่อนจะมาตายเมื่อผมถามเธอว่า "คันนี้รองรับ Bio-Diesel หรือเปล่าครับ" เธอทำหน้าเหวอว่ามันคืออะไรก่อนที่จะเดินไปถามช่างเพื่อหาคำตอบให้กับผม เมื่อสบโอกาสที่พนักงานขายกำลังหน้าเจื่อนผมจึงชิงจังหวะรีบชิ่งออกมา

นี่คือปัญหาของหลาย ๆ ศูนย์บริการที่คัดเลือกพนักงานขายจากรูปร่างหน้าตาและอายุที่พวกเขา "คิดว่าใช่" ซึ่งผมไม่คิดว่าเปลือกนอกเหล่านี้จะสำคัญกว่าความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ ความสามารถในการสื่อสารกับลูกค้า และความเอาใจใส่ติดตามงาน

หลายอาทิตย์หลังจากนั้นพนักงานขายคนเดิมโทรมาหาผมเพื่อติดตามผลงาน ถึงผมจะยังไม่ตัดสินใจแต่ก็รู้สึกชื่นชมว่าเธอมีความพยายาม

Nissan เป็นเพียงหนึ่งในสองค่ายที่ติดต่อกลับหลังจากที่ผมได้เข้าเยี่ยมศูนย์บริการ

Mitsubishi สาขาสิรินธร คือแหล่งข้อมูลถัดไปของผม เนื่องจากที่บ้านมีอยู่แล้วหนึ่งคันผมจึงไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากใบราคาและรายละเอียดบางอย่าง ป้าที่อยู่ในศูนย์บอกให้ผมรอพนักงานขาย ซึ่งเพียงแค่แกเดินไปหยิบใบเสนอราคามาให้ผมก็จะเสร็จธุระ แต่ป้าแกไม่ทำ

.

.

.

.

.

..... "น้ำจะท่วมบ้านยังวะ....ห่าเอ้ย....แม่งเร็ว ๆ หน่อยได้ไหม" ......ผมสบถอย่างสุภาพในใจ

.

.

.

.

ในที่สุดพนักงานขายก็เดินตูดบิดมาหาผม มันก็คงจะเหมือนกันทุกค่ายละครับที่พนักงานขายพยายามลากการสนทนาออกไปให้นานที่สุดจนน่ารำคาญเป็นอย่างยิ่ง

"ห่าแม่ง...มึงเคยขับรถที่มึงขายสักกี่ครั้งกันวะ...รถรุ่นนี้ที่บ้านกูก็มี แล้วมึงจะรู้จักมันดีกว่ากูไปได้ยังไง" ผมสบถอย่างสุภาพในใจอีกครั้ง

บางทีเขา/เธอ? อาจจะคิดว่ากูพูดเก่ง (เอาอยู่?)แต่บางทีเขา/เธอ? อาจจะไม่เคยฟังสิ่งที่ตัวเองพูดและไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าที่ลูกค้าทนฟังอยู่นั้นเพราะเขามีมารยาทและความอดทนพอที่จะไม่ตัดบทอย่างแรง ๆ

กลับเข้าสู่เรื่องรถดีกว่า Mitsubishi Triton ได้ยกเลิกการจำหน่ายรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ 3.2 ด้วยข้อจำกัดเรื่องมลภาวะและเพื่อลดข้อเสียเปรียบเรื่องภาษี Triton จึงหันมาใส่เทอร์โบแปรผัน (VG) ให้กับเครื่อง 2.5 ลิตรจนรีดแรงม้าได้ถึง 178 เพื่อมาข่มแชมป์เก่าคือ Nissan Navara ซึ่งจัดมาที่ 174 แรงม้า แต่หากมาเจอกันบนถนนก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเลขพละกำลังที่มากกว่านั้นจะเปลี่ยนออกมาเป็นความเร็วในเวลาที่น้อยกว่าหรือไม่ ขอจบการเปรียบเทียบเครื่องยนต์เพียงเท่านี้เพราะรถคันที่บ้านผมนั้นถูกปรับเปลี่ยนแต่งจูนจนมันเคลื่อนที่ด้วยการกระโดดจนไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐานในการวิจารณ์ได้ เกือบลืมบอกไป Mitsubishi มีรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดน้อยกว่าเพื่อนคือ ๕.๙ เมตร ซึ่งจนถึงปัจจุปันก็ยังไม่มีรถระดับเดียวกันในรุ่นยกสูงที่ทำได้ดีกว่านี้

การออกแบบภายในถือว่าไม่เลว เบาะนั่งผ้าสีดำแข็งแรงทนทานและขนหมาไม่ติดมากเหมือนพวกเบาะสักหลาด ที่วางเท้าตรงที่นั่งข้างคนขับเรียบวางเท้าได้เต็มตีนไม่เหมือน Isuzu แม้ว่าเท้าผมจะเบอร์ 44 อีกทั้งยังไม่มีคานอะไรมาปูดเกะกะเหมือน Ford Ranger ตัวใหม่ การเข้าเกียร์ทำได้ง่ายไม่ต้องโยกไกลเหมือน Isuzu และ Toyota (สิงห์ทางตรง) ซึ่งช่วยลดการสูญเสียได้ในระดับหนึ่ง จอแสดงข้อมูลทำได้น่าสนใจมากสามารถแสดงทิศทางแบบ Graphic บางท่านอาจคิดว่าแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเราขับตามถนนไม่ได้เดินทางตามทิศเหมือนคนเดินป่าหรือเดินเรือ แต่สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์เลยทีเดียวโดยเฉพาะเวลาที่หลงทางอยู่ต่างจังหวัด เพราะเพียงแค่หันหัวรถไปยังทิศทางที่เราจะไปแล้วก็ขับไปเรื่อย ๆ ในไม่ช้าเราก็จะขับไปเจอถนนใหญ่เอง นอกจากนั้นจอข้อมูลยังแสดงอัตราการใช้เชื้อเพลิง มุมตะแคงซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง และข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกด้วย

ไม่ชอบอยู่อย่างคือขอบประตูที่เกะกะขาชิบเป๋ง และสีเทาของวัสดุข้างประตูที่เป็นพลาสติกแท้แม้มันจะทำความสะอาดง่ายแต่...ผมก็ชอบรถสวย ๆ นะครับ ที่ประตูมีไฟติดให้ด้วยเข้าใจว่าเป็นกระบะรุ่นเดียวที่มีอุปกรณ์นี้ให้ ความยาวห้องโดยสารค่อนข้างมากด้วยรูปทรงรถที่ถือว่าแหกคอกในยุคหนึ่งเลยทีเดียว แต่ข้อเสียที่ตามมาคือพื้นที่บรรทุกที่น้อยลง รถรุ่นใหม่ได้แก้จุดอ่อนนี้ด้วยการเพิ่มความสูงของขอบกระบะซึ่งก็ชดเชยจุดอ่อนไปได้ระดับหนึ่ง Triton ใช้สายเคเบิลเป็นตัวยึดฝาปิดกระบะต่างจาก Isuzu และChevrolet ที่ยังคงเป็นข้อพับโลหะแม้ในรุ่นปี 2012 อะไหล่หาได้ไม่ลำบากและไม่ต้องรอนานในราคาที่ไม่โหดร้ายเหมือนรถหลายค่าย

Mitsubishi ออกรุ่นที่ใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซินและแก๊ส NGV พนักงานขายรีบฉวยโอกาสแทงข้างหลัง TATA ว่า เธอผ่านช่วงอวบขั้นสุดท้ายไปไกลแล้ว... เอ้ยไม่ใช่ รถยี่ห้อนี้ใช้พลังงานได้ระบบเดียว พอช่วงที่แก๊สส่งไม่ทันก็ต้องจอดกันเป็นแถว ถ้าต้องวิ่งออกนอกเส้นทางละก็ต้องวัดดวงกับปั๊มแก๊สข้างหน้ากันเลยทีเดียว

ข้อเสียของ Mitsubishi คือถังแก๊สที่อยู่ในโลงไฟเบอร์อันแน่นหนาถูกนำมาติดตั้งบนกระบะซึ่งก็เล็กกว่าเพื่อนอยู่แล้วทำให้คนที่ต้องการซื้อรถรุ่นนี้เพื่อมาขนของโดยเฉพาะต้องคิดหนัก เหมือนจะอ่านใจผมออกพนักงานขายรีบแก้เกมส์โดยไม่วายแขวะรถค่ายอื่นว่าการติดตั้งแบบนี้ปลอดภัยกว่า Toyota ที่ติดถังแก๊สไว้ใต้กระบะใกล้ ๆ กันชนหลัง เพราะถ้าโดนชนท้ายก็อาจจะมีลุ้น.....แต่ถ้าโดนชนข้างละครับ? ประเด็นนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าแบบไหนจะปลอดภัยกว่ากันแต่ถ้ามันระเบิดขึ้นมาจริง ๆ ผมก็เชื่อว่าถังที่อยู่ใกล้กันชนท้ายก็น่าจะดีกว่าถังที่อยู่ใกล้ท้ายทอย

Mitsubishi เปลี่ยน Presenter จาก จา พนม มาเป็น ตูน บอดีแสลม ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าระบบเสียงในรถจะดีขึ้น หรือแฟน Bodyslam จะเปลี่ยนมาขี่ Triton ตามนักร้องขวัญใจวัยรุ่นตอนปลายไปด้วย

คนที่เดินทางผ่านถนนสิรินธรบ่อย ๆ อาจสงสัยว่าผมลืมแวะศูนย์ Isuzu ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันหรือเปล่า ผมไม่ได้ลืมหรอกครับแต่จากการที่ขับรถ Isuzu Space Cap SLX ของอาที่ใช้อยู่ในสวนแล้วก็รถของพ่อแฟนทำให้ผมฟันธงว่า "แม่งโคตรกะหลั่วเลย"


Isuzu
ถ้าคุณเป็นคนขับก็จะรู้สึกว่ารถเป็นเชี่ยไรวะแม่งเร่งไม่ขึ้นเลย รถอืดแบบนี้มิน่าละถึงได้โฆษณาว่าประหยัดนัก ถ้าเติมน้ำมันสัก ๕๐๐ บาทก็สามารถขับจากตราดถึงกรุงเทพได้ การแซงแต่ละครั้งแทบจะต้องลุ้นกันตัวโก่งว่าจะพ้นหรือไม่ ภาพจากกระจกข้างก็เล็กจนมองอะไรแทบไม่รู้เรื่องเทียบไม่ได้กับค่ายอื่นโดยเฉพาะ Ford และ Mazda เบรกแม่งก็กะยาก เหยียบเบา ๆ มันก็ไม่ชะลอ พอกดลงไปอีกหน่อยคนที่นั่งเบาะ Cab ก็แทบจะกลิ้งลงมา มันไม่เป็นสัดส่วนกับการลงน้ำหนักเท้าเอาเสียเลย ถ้าคุณนั่งข้างคนขับก็จะรู้สึกว่า "มึงทำที่วางตีนมาให้กูแค่นี้เนี้ยนะ เอาตีนพาดบน Console เลยจะดีกว่าไหม" เข็มขัดนิรภัยคาดทีไรติดทุกทีเพราะที่วางแขนด้านข้างเบียดกับเบาะจึงไม่มีช่องว่างให้เข็มขัดลอดผ่าน Cab ก็ยังเปิดไม่ได้ต่างจากค่ายอื่นที่เขาทำกันได้เป็นชาติแล้ว เวลาจอดในที่เปลี่ยว ๆ ประสาทก็จะรับประทานเพราะกลัวเพื่อนบ้านจะยืมไปใช้ แต่ถ้าไปตลาดเวลากลับมาที่รถก็หาไม่ค่อยเจอเพราะมันเหมือนกันไปหมด ห่วงพื้นปูกระบะตรา Isuzu ที่ศูนย์ให้มาทำด้วยพลาสติก สิ่งที่ยากจะเชื่อคือนี่คือรถกระบะที่ขายดีเป็นอับแรก ๆ ในบ้านเรา...บางคนอาจให้เหตุผลว่าเพราะราคาขายต่อที่ดีจึงทำให้ Isuzu ได้รับความนิยม ผมว่าเหตุผลแบบนี้มันน่าจะเหมาะกับการซื้อทองรูปพรรณหรือหุ้นมากกว่า แต่ก็นานาจิตตังนะครับ สำหรับผม Isuzu ไม่อยู่ในสายตาเช่นเดียวกับรถคู่แฝดสัญชาติไทย (ฮิ) ที่มีนามกรว่า Chevrolet

ด้วยความบังเอิญผมไปธุระที่ห้างสรรพสินค้าในวันที่มีอีกสองค่ายมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย หนึ่งในนั้นคือ Mazda

Mazda BT 50 (ตัวก่อน 2012) รูปลักษณ์ภายนอกดูเชยนิด ๆ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนที่เห็นประโยชน์ใช้สอยสำคัญกว่ารูปลักษณ์ Presenter ดูเหมือนยอดมนุษย์สวมชุดรัดลึงค์ซึ่งไม่ได้ทำให้สินค้าดูดีขึ้นเลยทว่าเห็นแล้วอยากจะอ้วก ช่วงล่างของ Mazda แน่นเหมือนของแฟนเพื่อน เอ้ยแน่นเหมือนของเพื่อนก็คือ Ford นั่นเอง ภายใน "รู้สึก" จะเล็กกว่าค่ายอื่นนิด ๆ แต่กระจกมองหลังและมองข้างเห็นได้ถนัดมาก ๆ ราคาก็น่าสนใจเลยทีเดียว จะว่ารักแรกพบก็คงไม่ผิด เสียอยู่สองอย่างคือพวงมาลัยยังเป็นแบบถั่วและลูกกลอน (Nut and Bolt) ซึ่งก็ไม่ถึงกับพาวเย่อร์ แต่ค่ายอื่นเขา Rack and Pinion กันมาชาติเศษแล้ว ข้อเสียอีกอย่างคือกระจกหลังยังเป็นขอบยางเหมือนรถสมัยที่พ่อยังหนุ่มซึ่งถ้ามีใครเอาไรคม ๆ ไปกรีดขอบยางก็จะสามารถเข้าไปจัดการกับทรัพย์สินและเพื่อนแฟนที่อยู่ในรถได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือเมื่อขอบยางเสื่อมสภาพเวลาที่เจอฝนตกแรง ๆ อาจทำให้น้ำซึมเข้ามา ซึ่งในปี 2011 มีเพียง Mazda และ Ford ที่ยังคงใช้ขอบกระจกหลังรุ่นพิพิธภัณฑ์นี้อยู่

Kia K2900 ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่า Kia ผลิตรถแบบนี้ออกมาขายด้วย มันคือรถกระบะที่หัวเหมือนรถตู้แต่ตัวเป็นกระบะพื้นเรียบที่เปิดข้างได้ทั้งสามด้านที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด ๒,๙๐๐ ซีซี ที่ราคา ๖๔๘,๐๐๐ แสนกว่า ๆ แรงม้าอยู่ที่ ๑๒๕ อาจไม่หวือหวาเหมือน Nissan แต่อัตราการปล่อยมลภาวะอยู่ในมาตรฐาน Euro IV รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดอยู่ที่ 4.9 เมตร ถือว่าคนละชั้นกับรถกระบะทั่ว ๆ ไป แม้จะเป็นรถตอนเดียวแต่ภายในถือว่าใหญ่ใช้ได้และมีพื้นที่ให้สามารถเหยียดขาหลังได้อย่างสบาย ๆ แต่ถ้าคิดจะไปเที่ยวแบบครอบครัวก็หมดสิทธิ์เพราะนั่งได้อย่างเก่งก็แค่สามคน ด้วยความที่หน้ารถกุดเหมือนหัวดักแด้จึงทำให้มีพื้นที่บรรทุกของด้านหลังอย่างเหลือเฟือโดยไม่มีซุ้มล้อปูดขึ้นมาให้รำคาญลูกกะตา ดูเผิน ๆ อาจคล้ายรถหกล้อแต่มันคือรถสี่ล้อจึงไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องเวลาหากจะต้องวิ่งเข้าเมืองหลวง แต่ถึงกระนั้นก็ตามหากขับรถรุ่นนี้ไม่ว่าคุณจะปฏิบัติตามกฎหมายทุกกระเบียดนิ้วแล้วพวกตะกวดมันก็หาเรื่องเรียกคุณอยู่ดี จุดอ่อนของ Kia ไม่ใช่ที่รถแต่เป็นเรื่องของอะไหล่และศูนย์บริการ ส่วนระบบความปลอดภัยนั้นอย่าได้ถาม

ในช่วงนี้ผมยังคงเดินทางไปมาระหว่างบ้านและสวนโดยยังไม่ได้สนใจรถรุ่นไหนเป็นพิเศษแต่ก็มีตัวเลือกที่แคบลงว่าจะเป็นรถตอนครึ่งยี่ห้ออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ Isuzu และ Chevrolet และไม่นานนักก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเลือกของผมแคบลงไปอีก

ต่อภาค ๒