Popular Posts

Saturday, March 23, 2013

บ้า ๆ บอ ๆ – เหตุเกิดในโรง (พยาบาล...อีกแล้ว)


ยิ้มยังไม่ทันจะได้อ้าดีหลังจากที่แผลมด (หลายฝูง) กัดเพิ่งจะแห้ง วันนี้ก็ต้องกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้งเมื่อจู่ ๆ ก็มีตุ่มใส ๆ มากมายปรากฏขึ้นพร้อมกันที่มือ


 

"ตายห่าช่วงนี้มือต้องเป๊ะด้วยสิ...ตอนมดกัดตัวแม่งก็เละอย่างคนเป็นเอดส์ ตอนนี้มือก็เสือกมาเน่าอีก " ผมสบถกับตัวเอง


 

ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก ผมรีบหอบสารร่างไปยังโรงพยาบาลเอกชนบ้านนอกแต่ชื่อเมืองหลวงที่ใกล้ตัวที่สุด

๑๕ วินาทีหลังการมอง ผ่าน ๆ เอ้ย ตรวจหมอให้ครีมหลอดเล็ก ๆ มาสองหลอดที่เขียนด้านข้างว่า TA แต่ไม่ได้ระบุตัวยาใด ๆ (สิทธิพื้นฐานของคนไข้?) พร้อมกับยาแก้แพ้อีกสองแผง

.

.

.

๙๕๐ ... แม่เย็ด! ผมสบถในใจเมื่อเหลือบไปเห็นค่าใช้จ่ายสำหรับการบริการ ๑๕ วินาทีนั้น

.

.

.
เวลาผ่านไปเกือบสัปดาห์อาการหื่นขึ้นหน้าเอ้ยฝื่นขึ้นมือนั้นไม่ได้ดูดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ผมจึงตัดสินใจไปโรงบาลบ้านนอกชื่อเมืองหลวงอีกครั้งในจังหวัดใกล้เคียง


 

"วันนี้หมอผิวหนังลาหยุดกันหมดเลยค่า" พยาบาลคน (ใจ) สวยแจ้งข่าวร้ายอย่างจริงใจ

"ถ้าคนไข้ไม่สะดวกมาคราวหน้า ก็ให้หมออายุรกรรมช่วยดูได้ค่ะ แต่อาจไม่เชี่ยวชาญเท่าหมอผิวหนังโดยตรง หรือคุณคนไข้จะไปหาหมอผิวหนังที่คลินิกแถวนี้ก็ได้ค่ะ" พยาบาลคน (ใจ) สวยกล่าวต่อ

"คืองี้ครับประกันของผมมันได้ที่นี่ ถ้าไปที่อื่นก็ต้องเสียเงินเอง งั้นผมขอพบหมออายุรกรรมก่อนก็แล้วกันครับ ถ้ายังไม่ดีขึ้นหรือยังไงเดี๋ยวผมค่อยหาโอกาสมาใหม่ก็ได้ครับ"


 

หมอสั่งจ่ายครีมทามือมาสองขวดโดยมีตราโรงพยาบาลปิดทับฉลากเดิมจนมิด (สิทธิพื้นฐานของคนไข้?) แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เมื่อกลับถึงบ้านผมค่อย ๆ ลอกตราโรงพยาบาลออกจึงได้รู้ว่าสารเคมีที่บรรจุอยู่ในขวดนั้นคือ Triamcinolone Acetonide บ่องตงผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ก็รู้สึกว่ามันคุ้นตาชอบกล ผมครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนคว้ายาหลอดเล็กที่ได้คราวก่อนมาเปรียบเทียบกัน


 

"อ้าวเหี้ย นี่แม่งก็ TA เหมือนอันเก่าอะดิ เหล้าเก่าในขวดใหม่......แปลว่าวันนี้กูมาเสียเที่ยว" ผมสบถในใจอีกครั้ง

.

.

.

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์ แน่นอนว่าผื่นที่มือแม่งไม่ได้ดีขึ้นเลย "เชี่ยเอ๊ย! แม่งหายไม่ทันแน่" ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง


 

ด้วยเหตุบางอย่างวันนั้นผมมีธุระจะต้องไปเมืองกระต่ายจึงถือโอกาสไปโรงบาลบ้านนอกชื่อเมืองหลวงอีกครั้ง


 

"สวัสดีครับ มาหาหมอผิวหนังครับ อาทิตย์ก่อนมาแล้วครั้งหนึ่งแต่หมอไม่อยู่ ได้พบหมออายุรกรรมแต่อาการไม่ดีขึ้น วันนี้เลยมาอีกรอบ"

เจ้าหน้าที่คนสวยทำหน้าปุเลี่ยน ๆ ก่อนตอบ "เอ่อ...วันนี้คุณหมอผิวหนังก็ไม่อยู่เหมือนกันค่า คุณคนไข้เก็บนามบัตรนี้ไว้นะคะ คราวหน้าจะได้โทรมาเช็คได้"


 

Like they say bad luck will come three. งั้นแปลว่าตอนนี้เหลืออีกหนึ่ง


 

สองสามวันหลังจากนั้นอากาศในสวนค่อนข้างชื้นทำให้ผมรดน้ำเสร็จเร็วกว่าปรกติ ผมจึงถือโอกาสวัดดวงไปโรงบาลประจำจังหวัดแห่งหนึ่งที่เกือบจะได้เป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส


 

"คนไข้กรอกประวัติก่อน" เจ้าหน้าพูดสั้น ๆ ก่อนยื่นแบบฟอร์มยาวเหยียดให้ผม

ผมกรอกเอกสารสักพักก่อนส่งคืนให้เจ้าหน้าที่ ผมเหลือบเข้าไปในห้องทำงานและเห็นคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียวในส่วนงานนี้

"แบบนี้ช่วงคนเยอะ ๆ แม่งไม่ตายห่าหรอวะ เจ้าหน้าที่ไม่กี่คนกับคอมเครื่องเดียวอย่างมากก็สองจิ้มกันกี่ชาติกว่าจะเสร็จ เอาเงินไปซื้อคอมให้คนไข้กรอกเองดีกว่าไหมแล้วจ้างพนักงานไว้ช่วยคนที่พิมพ์เองไม่ได้" ผมสรรเสริญงานสาธารณสุขไทยในใจระหว่างรอเจ้าหน้าบันทึกข้อมูลลงคอม

.

.

.

เธอหันกลับมาทางผมหลังจากที่กรอกข้อมูลในคอมไปได้ไม่กี่ช่อง

"คุณทำอาชีพอะไร" เจ้าหน้าที่พูดด้วยน้ำเสียงขุ่น ๆ

"ก็เกษตรกรไงครับ" ผมตอบทันทีพร้อมกับความสงสัยว่า "มึงจะถามกูทำห่าไรวะที่กรอกไปอ่านไม่ออกหรือไง"

"อาชีพเกษตรกร ไม่มี มีแต่อาชีพเกษตรกรรม" เจ้าหน้าที่พูดเสียงขุ่นกว่าเดิม
"หา.....มีคนโง่ขนาดนี้ด้วยหรอวะ # ใครเอาอีนี่มานั่งจุดต้อนรับวะเนี่ย # มันก็เหมือนกับ Doctor Builder painter ไง คำที่ลงท้ายด้วย er ๆ จะหมายถึงคนที่ทำอาชีพนั้น ๆ อังกฤษหลัก ม.๕ เทอมสองไม่ได้เรียนมาไง แต่ถ้าอธิบายด้วยคำพวกนี้รับรองว่าอีนี่ไม่มีทางรู้เรื่อง"ความคิดมากมายพุ่งพล่านขึ้นจน RAM ในหัวแทบจะค้าง "...ไม่ ๆ นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเถียงกับอีนี่ พูดไปแม่งไม่มีทางเข้าใจแน่ ๆ # นึกตัวอย่างภาษาไทยไม่ออกโว้ย...."


 

"ก็เหมือนกับจิตรกรไงครับ เราเรียกช่างที่เขียนภาพว่าจิตรกร แต่ภาพที่อยู่บนผนังเราเรียกว่างานจิตรกรรม" ผมตอบอย่างมีศิลปะที่สุดเท่าที่จะนึกได้ในวินาทีนั้น

"อาชีพเกษตรกรไม่มี"

"มึงเป็นเหี้ยไรมากป่ะเนี่ย......................แล้วคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ทำเหี้ยไรกันวะ.......................รับจ้างเผาเมืองปิดสนามบินหรือ..........." ผมจนปัญญาจะอธิบายโดยสิ้นเชิง ในวินาทีนั้นผมนึกถึงบทสัมภาสน์ของคุณรงค์ วงค์สวรรค์ ที่เล่าถึงประสบการณ์ครั้งที่ต้องไปทำ Passport หรือ Visa ว่าแกได้ระบุลงไปในช่องอาชีพว่า นักเขียน แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมรับและบันทึกข้อมูลอาชีพของแกว่าเป็น ลูกจ้าง ทั้ง ๆ ไม่มีใครจ้างแก

"งั้นมึงจะให้กระดูกสันหลังของชาติอย่างกูเป็นตัวเหี้ยไร มึงก็กรอก ๆ ไปเหอะ" ผมบอกอีนั่นด้วยแววตาอันสุดจะเอือมระอา

"งั้นคุณทำอะไร"

"ทำสวนก็แล้วกัน" ผมตอบแบบขอไปทีทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ผมกำลังเตรียมจะปลูกข้าว

เจ้าหน้าที่เบือนหน้าอันไร้ชีวิตกลับไปที่หน้าจอที่ดูจะมีชีวิตมากกว่าแล้วเลือกคำว่าทำสวนจากรายการที่มีอยู่อีกครั้ง

.

.

.

"คุณแต่งงานหรือยัง" อีนี่หันกลับมาอีกครั้ง

"มึงไม่ได้ดูที่กูกรอกหรือไงวะ" ผมถามสวนสายตาก่อนตอบ "ผมโสดครับ"

"แต่คุณกรอกในช่องบุคคลติดต่อว่าแฟนไม่ได้นะ เค้าไม่ให้ใช้คำว่าแฟน ชื่อคนติดต่อต้องเป็นญาติ ญาติคุณไม่มีหรือไง"

"ไม่มี! อยู่คนเดียว! ถ้ามีอะไรให้ติดต่อคนนี้!" ผมขึ้นเสียงเป็นครั้งแรก

ความรู้สึกเหยียดหยามที่สะท้อนจากแววตาคู่นั้นเปลี่ยนเป็นความตกใจแกมเหวอ เธอหันกลับไปที่จออีกครั้งก่อนเลือกสถานะ ญาติ ในช่องบุคคลที่ติดต่อได้ ทั้ง ๆ ผมกับแฟนไม่ได้มีความเกี่ยวดองกันทางสายเลือดเลยแม้แต่น้อย แต่คราวนี้เจ้าหน้าที่ก็โง่น้อยพอที่จะเลือกเอารายการที่พอจะใช้แทนกันได้

มันเป็นเรื่องตลกมากหากว่าผมจะต้องกรอกชื่อคนในครอบครัวที่ผมเจอหน้าปีละไม่กี่ครั้งเพื่อให้สามารถบันทึกประวัติลงฐานข้อมูลได้ นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของระบบการทำงานที่ให้น้ำหนักกับมาตรฐานของเอกสารมากกว่าการใช้งานจริงใช่หรือไม่? เจ้าหน้าที่ต้องการชื่อคนที่เป็นญาติมากว่าคนที่ควรจะติดต่อเมื่อมีเหตุจำเป็น

บางทีญาติของผมอาจจะพูดถูกที่ว่า คนพวกนี้ก็เหมือนม้าแข่งที่ถูกปิดตาวิ่ง พวกเขาทำงานแบบไม่ต้องใช้ปัญญาและไหวพริบในการทำงานโดยสิ้นเชิง พวกเขาเพียงแค่ทำตามคำสั่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา ผมรู้สึกดีใจมากที่ไม่ต้องเข้าไปทำงานในวงจรอุบาทว์เช่นนี้ ผมอาจเป็นคนแปลกของตระกูลที่บรรพบุรุษทั้งข้างพ่อและข้างแม่ล้วนทำงานให้กับรัฐ แต่ผมกลับภูมิใจอย่างยิ่งที่ไม่ต้องเอาชีวิตเข้าไปหลอมในเบ้าใบนั้น

.

.

.

ในที่สุดผมก็ได้พบหมอ ผมเล่าอาการและประวัติการรักษาที่ผ่านมาพร้อมกับส่งยาที่ใช้อยู่ให้หมอเพื่อประกอบการวินิจฉัย

"หมอผิวหนังมีวันอังคารกับพฤหัสตอนเช้าค่ะ ตอนนี้หมอกลับไปแล้ว" หมอตอบอย่างสุภาพ

"Finally, bad luck has come three" ผมพูดกับตัวเองพร้อมกับอ้าปากค้างแทนคำตอบ

"ถ้าหมอให้ยาเนี่ย ก็จะคงจะสั่งยาคนละตัว แต่ก็จะเป็นยาในกลุ่มเดียวกัน"

แบบนี้ไม่เข้าท่าแน่ ๆ ผมคิดในใจก่อนถาม "แล้วที่นี่มีคลินิกผิวหนังโดยตรงไหมครับ พอดีผมขับรถมาไกลเลยไม่อยากมาเสียเที่ยว"

"คุณหมอคนนี้เปิดคลินิกอยู่ตรงซอยหลังร้าน Best แต่จะเปิดหลังห้าโมงนะคะ"

.

.

.

ตอนนี้เวลาบ่ายโมงเศษ ๆ ผมขับรถโฉบไปหน้าคลินิกที่หมอแนะนำ เหลือเวลาอีกเกือบสี่ชั่วโมงถึงผมจะไปจ่ายตลาดก่อนแต่ก็ยังต้องกลับมารออีกนานโข ผมตัดสินใจขับรถต่อไปในย่านนั้นเผื่อจะเจอคลินิกที่ผมไม่ต้องรอ และไม่ไกลกันนักผมก็สะดุดตากับป้าย รักษาโรคทั่วไป เด็ก ผิวหนัง สิว-ฝ้า ลดความอ้วน ศีรษะล้าน....

"นี่มันคลินิกความงามนี่หว่า แบบนี้เจอหมอผิวหนังชัวร์" ผมเดินเข้าไปอย่างมีความหวัง

เมื่อผมได้พบหมอ ผมเล่าอาการและประวัติการรักษาที่ผ่านมาพร้อมกับส่งยาที่ใช้อยู่ให้หมอเพื่อประกอบการวินิจฉัย

"นี่ไม่ได้เกิดจากความสกปรก แต่อาการแบบนี้เป็นความผิดปรกติที่มาจากผิวหนัง
มันเป็นความบกพร่องของต่อมเหงื่อที่เรียกว่าอาการ Hydro….ยาที่คนไข้ใช้อยู่เนี่ยไม่ตรงกับโรคเพราะมือเราไม่ได้สกปรกและไม่ได้แพ้อะไร"
หมอใส่เป็นชุด

การวินิจฉัยของหมอคนที่สี่ต่างไปจากหมอทุกคน ส่วนผลการรักษาจะเป็นอย่างไรนั้นโปรดติดตามตอนต่อไป