Popular Posts

Sunday, March 19, 2006

ความคิดเมื่ออยู่เพียงลำพัง - รองเท้าของผม


เกือบสองปีแล้วที่รองเท้าคู่นี้ไม่เคยถูกนำมาขัด

มันเป็นนิสัยที่ผมติดมาจากรองเท้าคู่เก่า ซึ่งผมมักปลีกตัวออกมานั่งขัดรองเท้าอยู่ลำพังในโรงรถในทุกคืนวันพฤหัสบดี

อาจดูเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเด็กมัธยมหลายๆ คนที่ทุ่มเทเวลาและความสนใจทั้งหมดในชีวิตไปกับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย

แต่สำหรับผมแล้ว ในเวลานั้นผมไม่อาจทุ่มความสนใจให้กับอะไรได้ทั้งสิ้น

การขัดรองเท้าเริ่มขึ้นทันทีหลังจากเสียงลูกเหล็ก และเสียงตะโกนโหวกเหวกของผมสิ้นสุดลง สมองของผมเกือบจะว่างเปล่าหลังจากการฝึกที่แลกด้วยเวลาและเรี่ยวแรงทั้งหมด
มันคือเวลาเดียวที่จิตใจอันเหนื่อยล้าหยุดได้พัก
และเยียวยาตัวเองอย่างเงียบๆ เพียงลำพัง
ผมอยากจะหยุดเวลาไว้เพียงเท่านี้ แม้รู้ทั้งรู้ว่ามันมิอาจเป็นไปได้
.
.
.
รองเท้าแม้มีสีดำทว่าขัดให้ดีแล้วเราจะมองเห็นมิติลึกๆ ที่อยู่ภายใต้
เหมือนกับใจเราที่แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่รู้ว่ามีความคิดอะไรบ้างอยู่ภายใน
ความคิดมากมายวาบขึ้นมาราวกับเป็นเงาสะท้อนจากรองเท้า ระหว่างที่เราได้อยู่เพียงลำพัง ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น
.
ผมจึงขัดรองเท้าไปเรื่อยๆ
เพื่อให้จิตใจได้หยุดพัก และพิจารณาสิ่งต่างๆ รอบตัวได้นานที่สุด
.
รองเท้าที่มันวาวอาจเป็นเพียงผลพลอยได้
แปรงขนและก้อนสำลีหาได้เพียงชักเงาให้รองเท้า แต่ได้ดูแลรอยแผลมากมายภายในจิตใจ
.
.
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากรองเท้าของผมดูมันเงาเสมอในหลายรอบหลายปีที่ผ่านมา
.
.
.
.จนกระทั่งผมออกจากมหาลัย
รองเท้าที่เคยใส่ทุกวันกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นการขัดรองเท้าค่อยๆ กลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
จนเมื่ออาทิตย์ที่ก่อน

..............

ผมทนดูความทุเรศของรองเท้าตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เชื่อว่าถ้าปล่อยให้อีกไม่นานก็คงเกินเยียวยา
การซ่อมจบลงที่การทำความสะอาด และแน่นอนผมต้องการให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
.
.
ทันทีที่เริ่ม
ความคิดมากมายวาบขึ้นมา................มันเป็นความรู้สึกคุ้นเคยที่ถูกลืม

เรื่องราวมากมายในอดีดผุดขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ
น่าแปลกที่แม้ว่ามันจะเป็นความสุขหรือทุกข์เพียงใด แต่เมื่อเรามองย้อนกลับไป
มันดูสวยงามเสมอ
.
.
.
ภาพรองเท้าคู่แรกของผมวาบขึ้นมาเตือนให้ผมไม่ลืมเรื่องราวที่สำคัญในอดีต
คงมีเด็กไม่กี่คนที่ได้ใส่รองเท้าหนังตั้งแต่เกิด
นั่นไม่ใช่เพราะความดัดจริตเลยแม้แต่น้อย ทว่าคือความผิดปรกติของเท้าผมเอง

ผมแสดงความไม่ธรรมดาตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ ด้วยการถีบถุงน้ำแตกจนต้องผ่าออกมาก่อนกำหนด
(...คงไม่รู้มาก่อนหละซิว่ากูตายยากมาตั้งแต่เกิด...)
และยืนยันในความไม่ธรรมดาอีกครั้งด้วยรูปทรงที่ไม่เหมือนชาวบ้านของเท้าข้างเดิม
หมอให้รองเท้าบู๊ตสีขาวเป็นของขวัญวันเกิดที่ไม่เต็มใจจะได้สักเท่าไหร่ ซึ่งผมจะต้องใส่รองเท้าแบบเดียวกันไปอีก 10 ปี

แม่บอกว่าผมร้องไห้จ้าทุกทีที่ใส่รองเท้าจนยายสงสารจนต้องถอดออก

แต่แม่จอมโหดของผมเห็นเมื่อไหร่ก็จับใส่เมื่อนั้น โดยไม่คำนึงถึงลูกน้อยที่น่ารักว่าจะทุรนทุรายขนาดไหน
แต่ก็เพราะความใจโหดหินของแม่นั่นเองที่ทำให้ผมเดินได้ปรกติเหมือนชาวบ้าน

การผมต้องใส่รองเท้าบู๊ตไปโรงเรียนตั้งแต่เด็ก ทำให้ผมเคยชินกับการทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน
ทุกครั้งที่เปิดเทอมผมต้องตอบคำถามเดิมๆ จากครูแม่งแทบจะทุกคนว่าทำไมใส่รองเท้าแบบนี้
แต่ผมไม่เคยรู้สึกว่านั่นเป็นปมด้อยเลย
ตรงข้ามวันไหนผีเข้าผมก็ขัดรองเท้าไปโรงเรียนให้เพื่อนหมั่นไส้เล่นๆ
สิ่งที่ผมต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่นจริงๆ อาจเป็นเรื่องที่ผมไม่เตะบอล เพราะรองเท้าแม่งหนักมากเนื่องจากจะต้องถ่วงเท้าให้เหยียบพื้นอยู่เสมอ

รองเท้าคู่สุดท้ายแม่งกวนตีนมากเพราะข้างซ้ายและขวาจะดูกลับกัน…………. และคนก็จะทักอยู่นั่นแหละ.....จนผมอยากจะแจกบู๊ตให้กินเป็นของว่าง
ด้วยความที่มันกวนตีนผมจึงไม่ได้เก็บรองเท้าคู่นั้นไว้
เหลือเพียงคู่แรก
.
.
.
มันยังอยู่ในสภาพดี แม้ว่าจะมีอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว
ผมนำมันมาวางคู่กับรองเท้าคู่ปัจจุบันที่ผมกำลังขัดอยู่
นอกจากสีที่ตรงข้าม ขนาดก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง
จนอาจจะเรียกได้ว่าความเหมือนที่แตกต่าง

(ต่อภาค 2 )

No comments: